1219208

ทัวร์ยุโรป อิตาลีเหนือ ฉันรักเขา Dolomites 8 วัน 5 คืน (TK)

ราคาเริ่มต้น 73,333 ฿ ดาวน์โหลด PDF จองทัวร์

สายการบิน: packageLogo683_Turkish Airlines Logo

นำท่านเดินทางสู่ นครรัฐวาติกัน (Vatican City) ศูนย์กลางแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีความยิ่งใหญ่นับตั้งแต่สมัยโบราณ ที่นี่เป็นนครรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร กับประชากรราวๆ 1,000 คนเท่านั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ แม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) แม้รอบด้านจะรายล้อมด้วยบ้านเมืองของ กรุงโรม ประเทศอิตาลี แต่นครรัฐวาติกันก็ถือว่าเป็นรัฐอิสระ โดยมีสมเด็จพระสันตปาปาเป็นประมุขของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และมีอำนาจสูงสุดทั้งทางด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

วันที่เดินทาง

9 ต.ค. 67 – 16 ต.ค. 67

ทัวร์ยุโรป

วันแรก สนามบินสุวรรณภูมิ
20.00 น. คณะพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ N สายการบิน เตอร์กิช แอร์ไลน์ (TK ) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกด้านเอกสารการเดินทาง

*** เที่ยวบินหรือเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายการบินเป็นผู้กำหนด ***
ขอสงวนสิทธิ์ในการเลือกที่นั่งบนเครื่องบินเนื่องจากเป็นตั๋วกรุ๊ป การจัดที่นั่งจะเป็นระบบ RANDOM ที่นั่งอาจจะไม่ได้นั่งติดกัน
ทางบริษัทไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของสายการบินเป็นผู้กำหนด

23.05 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยสายการบิน เตอร์กิช แอร์ไลน์ (TK) เที่ยวบินที่ TK69 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 10 ชั่วโมง 15 นาที)

วันที่สอง สนามบินอิสตันบูล – สนามบินโรม ฟูมิซิโน่ – มหาวิหารนักบุญเปโตร – วิหารแพนธีออน (บริเวณภายนอก) – จัตุรัสนาโวนา – โคลอสเซียม – น้ำพุเทรวี – บันไดสเปน (-/L/-)
05.15 น. เดินทางถึง สนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี (เวลาท้องถิ่น) จากนั้นรอต่อเครื่องเพื่อเดินทางสู่ มิวนิค ประเทศเยอรมนี (รอแวะเปลี่ยนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง)
07.50 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินโรม ฟูมิชิโน่ ประเทศอิตาลี โดยเที่ยวบินที่ TK1861 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 2.40 ชั่วโมง)
09.25 น. ถึง สนามบินโรม ฟูมิชิโน่ ประเทศอิตาลี (เวลาประเทศเยอรมนีช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง กรุณาปรับเวลาให้ตรงตามเวลาท้องถิ่น เพื่อความสะดวกในการนัดหมาย) ผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้ว

นำท่านเดินทางสู่ นครรัฐวาติกัน (Vatican City) ศูนย์กลางแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีความยิ่งใหญ่นับตั้งแต่สมัยโบราณ ที่นี่เป็นนครรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร กับประชากรราวๆ 1,000 คนเท่านั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ แม่น้ำไทเบอร์ (Tiber River) แม้รอบด้านจะรายล้อมด้วยบ้านเมืองของ กรุงโรม ประเทศอิตาลี แต่นครรัฐวาติกันก็ถือว่าเป็นรัฐอิสระ โดยมีสมเด็จพระสันตปาปาเป็นประมุขของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และมีอำนาจสูงสุดทั้งทางด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

ท่านจะได้ชม มหาวิหารนักบุญเปโตร (St. Peter’s Basillica) (บริเวณภายนอก) เป็นมหาวิหาร 1 ใน 4 ของมหาวิหารเอกของกรุงโรมและเชื่อว่าเป็นมหาวิหารที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของชาวคริสต์นิกายโรมันคาโทลิก ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของรัฐวาติกันและเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดของรัฐวาติกันอีกด้วย โดยมหาวิหารนักบุญเปโตรนั้นว่ากันว่ามีการใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 120 เลยทีเดียว ในช่วงปี 1950 นั้นหลังจากที่นักโบราณคดีขุดค้นห้องใต้ดินที่อยู่ภายใต้ของมหาวิหารที่ใช้เวลาขุดและศึกษามากว่า 10 ปี ได้มีการออกอากาศทางวิทยุของพระสันตะปาปา ได้มีการประกาศว่ามีการค้นพบร่างของนักบุญเปโตรซึ่งเป็นการยืนยันความเชื่อที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนานอีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่ามหาวิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ฝังร่างของพระสันตะปาปาองค์แรกของคริสต์จักรอีกด้วย ทั้งนี้มหาวิหารนักบุญเปโตรได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์กร Unesco ในปี 1984

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ กรุงโรม (Rome) เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศอิตาลีซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 2700 ปี ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นผู้ที่วางรากฐานอารยธรรมตะวันตกเผยแพร่ไปทั่วยุโรป และอาณาจักรแห่งนี้ได้เสื่อมถอยจากการมาถึงของศาสนจักรจึงเข้าสู่ยุคมืดในที่สุด
นำท่านชม วิหารแพนธีออน (Pantheon) (บริเวณภายนอก) คือเทวสถานศักดิ์สิทธิ์ใน กรุงโรม ประเทศอิตาลี (บริเวณภายนอก) ที่วิหารนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วง 27-25 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดย มาร์คุส วิบซานิอุส อะกริบปา (Marcus Vipsanius Agrippa) แม่ทัพซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของ จักรพรรติออกุสตุส (Augustus) จักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน แม้จุดประสงค์ในการสร้างในยุคนั้นจะไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ จักรพรรดิฮาเดรียน ในปี ค.ศ. 126 วิหารแพนธีออนแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นเทวสถานบูชาเทพเจ้าแห่งกรีก-โรมันทั้ง 7 แห่งดาวในระบบสุริยะ ได้แก่ พระอาทิตย์ (Apollo) พระจันทร์ (Diana) อังคาร (Mars) พุธ (Mercury) พฤหัส (Jupiter) ศุกร์ (Venus) และ เสาร์ (Saturn) ในสมัยนั้น การสร้างเทวสถานเพื่อบูชาเทพเจ้าหลายองค์เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะวิหารกรีก-โรมันส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นมักจะมีจุดประสงค์เพื่อบูชาเทพเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่วิหารแพนธีออน แห่งนี้กลับสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าทุกพระองค์ จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ แพนธีออน (Pantheon) ในภาษากรีก แปลว่า “เกียรติศักดิ์แห่งทวยเทพ” นั่นเอง (ไม่รวมค่าเข้าชมด้านใน ประมาณ 5 ยูโร/ท่าน)

เดินมาไม่ไกลจากวิหารแพนธีนออนมากนัก ท่านจะพบกับ จัตุรัส นาโวน่า (Piazza Navona) เป็นอีกหนึ่งจัตุรัสที่จัดได้ว่าเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและสวยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงโรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ทั้งน้ำพุสวยๆ ร้านอาหาร ตึกอาคารสีสันสดใส สำหรับน้ำพุที่โดดเด่นที่สุดและเป็นเอกลักษณ์ของจัตุรัสแห่งนี้ก็คือน้ำพุจตุมหานทีน้ำพุที่โดเด่นใจกลางจัตุรัส ประกอบไปด้วยเสาโอเบลิกส์ตั้งอยู่กลางน้ำพุ ซึ่งเป็นเสาแบบเดียวกับด้านหน้า Sant’Agnese โบสถ์สไตล์บาโรก โดยเสานี้นั้นนำเข้าจากประเทศอียิปต์ นอกจากเสาเด่นตระหง่านตรงกลางแล้ว น้ำพุยังประกอบไปด้วยรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของการแสดงถึงแม่น้ำสายสำคัญของทั้ง 4 ทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำไนท์ แม่น้ำดานูป และแม่น้ำพลาต้า อันเป็นที่มาของชื่อจตุมหานทีนั่นเอง

พาท่านชม โคลอสเซียม (Colosseum) แลนมาร์กและสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอิตาลี เป็นสนามกีฬาทรงกลมขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ 72 แล้วเสร็จในปี ค.ศ 80 ทั้งนี้ยังสามาถจุคนได้มากถึง 80,000 คนเลยทีเดียว โดยวัตถุประสงค์ในการสร้างโคลอสเซียมนั้นเพื่อเป็นการชมกีฬาและการต่อสู้ของเหล่าทาสและกลาดิเอเตอร์ในการประลองเพื่อเอาชีวิตรอดรวมถึงการแสดงฝีมือของเหล่านักรบอีกทั้งหากผู้ที่ชนะศึกการประลองจะได้รับชื่อเสียงและเงินทองมากมายอีกด้วย โดยในปี 1980 โคลอสเซียมได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกโดยองค์กร Unesco และในปี 2007 และได้ถูกยกให้กลายเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย
บริเวณใกล้กันนั้นท่านจะได้เห็น ประตูชัยคอนสแตนติน (Arch of Constantine) สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินในการสู้รบที่สะพานมิลเวียน การออกแบบโดยทั่วไปของซุ้มประตูนั้นมีส่วนหลักที่มีโครงสร้างเป็นเสาเดี่ยว และห้องใต้หลังคาที่มีจารึกหลักอยู่ที่บริเวณด้านบน ซึ่งได้จารึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชัยชนะของการรบอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์โรมัน

จากนั้นนำท่านถ่ายรูปกับ น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) ถูกสร้างขึ้นในปี 1732 โดยสถาปนิกนามว่านิโคลา ซาลวี แต่เนื่องจากสถาปนิกท่านนี้ได้เสียชีวิตไปก่อนหลังจากก่อสร้างน้ำพุแห่งนี้ซึ่งสร้างเสร็จไปเพียงครึ่งนึงเท่านั้น ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1762 โดยศิลปินนาว่า โจวานนี เปาโล ปานินิ ซึ่งน้ำพุแห่งนี้มีรูปปั้นของเทพเนปจูนหรือเทพเจ้าโพไซดอนตามตำนานปกรนัมกรีก โดยน้ำพุแห่งนี้มีความเชื่อกันว่าหากเราโยนเหรียญในการอธิษฐานตกลงไปใต้น้ำพุซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้กลับมายังน้ำพุเทรวีแห่งนี้อีกครั้ง

และไม่ไกลจากน้ำพุเทรวีมากนัก นำท่านเดินทางสู่ บันไดสเปน (Spanish Step) เป็นบันไดที่กว้างและยาวที่สุดในยุโรป ด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 138 ขั้น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่และมีความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับโรมัน ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลีนามว่า ฟรานเชสโก เด ซังค์ติส และ อาเลสซานโดร สเปคชี ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ 1723 แล้วเสร็จในปีค.ศ 1725 ด้วยเงินจากกองทุนมรดกของนักการทูตชาวฝรั่งเศส

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่สาม ปิซ่า – หอเอนปิซ่า – ฟลอเรนซ์ (B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ เมืองปิซ่า (Pisa) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5.15 ชั่วโมง) เมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นทอสคานา ประเทศอิตาลี จุดมุ่งหมายที่นักท่องเที่ยวต่างมาเยือนคือการชม หอเอนเมืองปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 200 ปี

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
หลังอาหารกลางวัน นำท่านเดินทางสู่ จัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ประกอบไปด้วย มหาวิหารเมืองปิซ่า (Pisa Cathedral) หอศีลจุ่ม (Pisa Baptistery) และ หอระฆัง (Leaning Tower of Pisa) ที่เป็นแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงระดับโลก การก่อสร้างของหอระฆังแห่งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 ไม่ปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นคนออกแบบ เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น การก่อสร้างก็มีอันต้องยุติลง เพราะเมืองปิซ่าเข้าสู่ภาวะสงคราม ระหว่างการก่อสร้างช่วงแรก เพียงแค่ 5 ปี หลังจากเริ่มทำการก่อสร้างก็พบว่า หอคอยแห่งนี้ก็เริ่มเอนลงไปทางเหนือแล้ว โดยครั้งแรกที่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของหอคอยแห่งนี้ก็ในช่วงที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมช่วงที่สอง แต่ทว่าสถาปนิก จิโอวานนี ดิ ซิโมเน ก็ยังคงเดินหน้าสร้างต่อ โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุกๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้

จากนั้นนำทุกท่านเดินทางไปยัง สถานีรถไฟ Sesto Fiorentino (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.15 ชั่วโมง) เพื่อเดินทางเข้าสู่ เมือง ฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปะในยุคเรอเนสซองส์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มี โบราณสถานสําคัญ และมีทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกจาก องค์กรยูเนสโก้เมื่อ ปี ค.ศ.1982 ทําให้ทัสคานีมีชื่อเสียงในฐานะดินแดนท่องเที่ยวยอดนิยมระดับโลก อิตาลี ท่านจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ และอลังการของ มหาวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Santa Maria Dell Fiore) วิหารของเมืองฟลอเรนซ์ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4ของทวีปยุโรป ซึ่งโดด เด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้หินอ่อนหลายสีตกแต่งผสมผสานกันได้อย่างงดงาม นําชม จัตุรัสเดลลา ซิญญอเรีย (Piazza Della Signoria) ซึ่งรายล้อมไปด้วยรูปปั้น อาทิ เช่น รูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน (Fountain Of Neptune), วีรบุรุษเปอร์ซิอุสถือหัวเมดูซ่า (Perseus With The Head Of Medusa), รูปปั้นเดวิด ผลงานที่มีชื่อเสียงของ ไมเคิล แองเจโล่ จากนั้นเดินไปไม่ไกล ริมฝั่งแม่น้ำอาร์โน ท่านจะพบกับ สะพานเวคคิโอ (Vecchio) สะพานเก่าแก่ที่มีมีร้านขายทอง และอัญมณีอยู่ทั้งสองข้างสะพาน ให้เวลาท่านอิสระเลือกซื้อสินค้าทั้งของฝาก ของที่ระลึก รวมทั้งสินค้าแฟชั่นนําสมัย

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่สี่ เวนิส – สะพานถอนหายใจ – มหาวิหารซานมาร์โก (บริเวณภายนอก) – จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โก – หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค – คอร์ติน่า ดัมเปซโซ่ (B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ เวนิส (Venice) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.45 ชั่วโมง) เมืองหลวงแห่งภูมิภาค Veneto ของ ประเทศอิตาลี มีลักษณะเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยรวมกันกว่า 100 เกาะ เกิดเป็นลากูน บนทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ผืนน้ำที่คั่นระหว่างเกาะต่างๆ จะมีสะพานเชื่อมถึงกัน พื้นดินทั้งหลายนั้นแท้จริงแล้วเป็นเกาะใหญ่น้อยมาร้อยรวมกันเสมือนผ้าผืนใหญ่ที่อยู่กลางน้ำ สัญลักษณ์ของเวนิส หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับ เรือกอนโดลา (Gondola) กันดี เป็นเรือที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะบริเวณหัวเรือกับท้ายเรือที่มีลักษณะปลายแหลม ความยาวอยู่ที่ 4-5 เมตร กว้างประมาณ 1.2 เมตร และสามารถจุผู้โดยสารได้ 5-6 คน เดิมเป็นเรือที่ใช้ในการอพยพผู้คนที่หนีภัยสงครามในสมัยอาณาจักรโรมัน และมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวนิส ด้วยความพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเป็นคูคลอง และทะเล เรือจึงเป็นยานพาหนะสำคัญในการเดินทางสัญจร และการขนส่งของเมือง
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน

นำท่านนั่งเรือโดยสารข้ามไปยังเกาะเวนิส ท่านจะได้เห็น สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ในอดีต ชั้นใต้ดินของพระราชวังดูคาเล่ มีคุกขังนักโทษ ที่จะถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ตามอาการของนักโทษที่เดินข้ามสะพานและกำลังจะหมดอิสรภาพนั่นเอง ปัจจุบันคุกใต้ดินไม่ได้ใช้งานแล้ว และสะพานถอนหายใจแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของการนั่งเรือกอนโดลาชมเมือง

เดินถัดมาไม่ไกลมากนัก ท่านจะพบกับ หอระฆังซานมาร์โก (San Marco Campile) เป็นหอระฆังสูงถึง 98 เมตร ที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิหารซานมาร์โก เรียกว่าเป็นจุดเด่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลาง จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค (Piazza San Marco) เลยทีเดียว ที่นี่เป็นอีกแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และบริเวณมุมหนึ่งของจัตุรัส เราจะพบกับ หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค (Torre dell’Orologio) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเวนิสที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 15 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเวเนเชียนเรอเนสซองส์ หน้าปัดนาฬิกาเป็นสีน้ำเงิน ตกแต่งด้วยลวดลายสีทองของ 12 ราศี ส่วนด้านบนเป็นลวดลายโมเซคสีน้ำเงินสลับทองด้วยเช่นกัน เป็นการแต่งเติมเมื่อปี ค.ศ. 1755 โดย Giorgio Massari สถาปนิกชาวเวนิสสมัยบาโรก

นำท่านเดินทางสู่ เมืองคอร์ตินา ดัม เปซโซ่ (Cortina D’ Ampezzo) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองนี้เป็นเมืองสกีรีสอร์ท Best of The Alps ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) หรือ โดโลมิติ ตามการเรียกขานของชาวอิตาลี เพียงแห่งเดียวในอิตาลีที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ของสกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไข่มุกแห่งโดโลไมท์ ให้อิสระท่านเดินเล่น เก็บภาพบรรยากาศ ซึมซับกับทัศนียภาพที่สวยงาม และอากาศบริสุทธิ์

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ห้า ทะเลสาบมิซูริน่า – ทะเลสาบบรายเอียซ – บริกเซน – ซานต้ามาดดาเลน่า – โบลซาโน (B/-/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบมิซูริน่า (Lake Misurina) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) ทะเลสาบที่หลบซ่อนตัวในหุบเขาที่ถือเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งใดในโดโลไมท์ อิสระให้ท่านเดินเล่นชมวิวทะเลสาบเก็บภาพสุดแสนประทับใจ

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบบรายเอียซ (Lake Braies) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Fanes Sennes Braies เขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเทือกเขาโดโลไมท์ เพื่อชมความงามของทะเลสาบ ตั้งอยู่ริมขอบทางทิศเหนือของอุทยานมีทางเดินอย่างดีเป็นวงกลมรอบทะเลสาบ อิสระให้ท่านเก็บภาพความประทับใจ

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองบริกเซน (Brixen) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เมืองเก่าแก่ในแคว้น South Tyrol ให้ท่านเดินเล่นชมเมืองโดยเมือง บริกเซนมีโบสถ์ประจำเมืองคือ Cathedral of Brixen ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่10 และมีการรีโนเวตใหม่ในศตวรรษที่18 เป็นโบสถ์สไตล์บาโรก ที่สวยงาม อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมือง

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

จากนั้นนำท่านเก็บภาพความประทับใจกับวิวไฮไลท์ ของเทือกเขา Dolomites ณ Santa Maddalena (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) ถ่ายรูปกับหนึ่งจุดไฮไลต์ด้วยวิวยอดเขาแปลกตาอีกแห่งหนึ่งในโดโลไมท์ ณ โบสถ์ Santa Maddalena โบสถ์ที่ถือเป็นสถานที่ไฮไลต์ทที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุด ในอุทยานโดโลไมท์ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมีฉากหลังเป็นเทือกเขา Odles

นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบลซาโน (Bolzano) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองที่ผสมผสานความหลากหลายไว้ได้อย่างลงตัว รวมไปถึงความเป็นเมืองเก่า และเมืองใหม่ ทัศนียภาพของเมืองโบลซาโน ทิวภูเขาล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Talvera ไหลลงสู่แม่น้ำ Israco และมารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ Adige

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารอาหารจีน
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่หก เวโรนา – เซอร์มิโอเน – มิลาน (B/-/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ เมืองเวโรนา เป็นเมืองใน จังหวัดเวโรนา (Province of Verona) แคว้นเวเนโต (Veneto) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.15 ชั่วโมง) เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอะดิเจ (Adige River) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ชั้นดีในการตั้งถิ่นฐานสมัยโบราณ ชนเผ่าดั้งเดิมในอิตาลีอย่างยูกาไน (Euganei) และเซโนมานี (Cenomani) จึงผลัดกันยึดครองเวโรนาระหว่าง 500 ปีจนถึง 300 ปีก่อนคริสตกาล เวโรนาเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เมืองนี้เต็มไปด้วยโบราณสถานน่าตื่นตา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้างในสมัยโรมัน โบสถ์วิหารเก่าแก่ หรือแม้แต่บ้านเรือนก่อด้วยอิฐและหิน ด้วยเหตุนี้ใน ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโก (UNESCO) จึงประกาศให้เวโรนาเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่า เนื่องจากสถาปัตยกรรมที่คงอยู่เหนือกาลเวลาในเมืองนี้นั่นเอง อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมือง

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เซอร์มิโอเน (Sirmione) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรเป็นดั่งเมืองลอยน้ำที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะยังมีซากปรักหักพังของโบราณสถานหลายร้อยปีก่อนตั้งอยู่ที่นี่ โดยมีฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งคาบสมุทรเซอร์มิโอ” และยังเป็นเสมือนเมืองเวนิสแห่งที่สอง เพราะบ้านเมืองในเซอร์มิโอเนยังอยู่ท่ามกลางน้ำ และด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นเข้าไปใน ทะเลสาบการ์ดา (Garda) ในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีผู้คนที่มีฐานะในยุคสมัยโรมันใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและปัจจุบันก็เป็นเมืองพักผ่อนริมทะเลสาบที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกด้วย

นำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองมิลาน (Milan) หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า “ มิลาโน่ (Milano) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) มิลานเป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดีย เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือใหญ่อันดับ 2 ของประเทศอิตาลี มีประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลายผ่านสถานที่สำคัญมากมาย เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองผู้นำแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลก มีชื่อเสียงในการเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้าแฟชั่นโมเดิร์นที่มีความทันสมัย เช่นเดียวกับ ปารีส และ นิวยอร์ค อีกทั้งมิลานยังเป็นหัวใจด้านเศรษฐกิจของอิตาลีเพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมเขตอุสาหกรรมที่หนาแน่นที่สุดของประเทศและเป็นศูนย์กลางการเดินทางเข้าอิตาลี โดยเฉพาะรถไฟมาจากประเทศอื่นๆในยุโรป มีสถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองมิลานที่สุดก็คือ “มหาวิหารดูโอโม่” (Duomo di Milano)

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารอาหารจีน
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่เจ็ด มหาวิหารดูโอโม มิลาน – ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองมิลาน (Galleria Vittorio Emanuele II) – ปราสาทสฟอร์เซสโก้ (บริเวณภายนอก) – สนามบินมิลาน (B/-/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

ชม มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน วิหารโอ่อ่าใหญ่โตอลังการ สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคสีขาวเด่นสวยงาม เป็นอันดับ 3 ของโลก เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่ระหว่างการก่อสร้างก็พบกับปัญหา และอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาการเมือง และการเงิน กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้เวลาไปถึง 579 ปี เปลี่ยนคนก่อสร้างไปหลายชั่วอายุคน แต่มีสถาปนิกที่คุมการก่อสร้าง ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้นั่นก็คือ ลีโอนาโด นาวินชี ศิลปินชื่อก้องโลก วิหารนั้นมีการประดับประดาไปด้วยรูปปั้นกว่า 3,200 รูปที่สวยงาม และมียอดรวม 135 ยอด จนได้รับฉายาว่า “วิหารเม่น”

บริเวณใกล้กันจะเป็น ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองมิลาน (Galleria Vittorio Emanuele II) ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่สุดในอิตาลี และเรียกได้ว่า เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน ศูนย์การค้าสุดหรูของผู้หลงใหลแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศแห่งนี้ Galleria Vittorio manuele II ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ The Duomo
เดินไปอีกไม่ไกล ท่านจะได้เห็น ปราสาทสฟอร์เซสโก้ (Castello Sfozesco) (บริเวณภายนอก) ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเซมปิโอน (Sempione Park) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีความสง่างามและน่าเกรงขาม มีกำแพงอิฐใหญ่ที่เรียงรายอย่างมีระเบียบตามสไตล์ยุคกลาง

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่ สนามบินมิลาน

19.35 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี โดยสายการบิน เตอร์กิช แอร์ไลน์ (TK) เที่ยวบินที่ TK1876 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง)

วันที่แปด สนามบินอิสตันบูล – สนามบินสุวรรณภูมิ
23.35 น. เดินทางถึง สนามบินอิสตันบูล ประเทศตุรกี (เวลาท้องถิ่น) จากนั้นรอต่อเครื่องเพื่อเดินทางสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย (รอแวะเปลี่ยนเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง)
01.35 น. ออกเดินทางสู่ ประเทศไทย โดยสายการบิน เตอร์กิช แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TK68 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง 50 นาที)
15.25 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

ทัวร์ยุโรป