15. VMUCMXP107SV-15 ไฮไลท์สุดว้าว โรแมนติกแบบตะโกน DE AT IT 10 วัน 7 คืน

ทัวร์ยุโรป ไฮไลท์สุดว้าว โรแมนติกแบบตะโกน DE AT IT 10 วัน 7 คืน (SV)

ราคาเริ่มต้น 79,999 ฿ ดาวน์โหลด PDF จองทัวร์

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หมู่บ้านมรดกโลกอันแสนโรแมนติก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) ที่มีอายุกว่า 4,500 ปี เมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ โอบล้อมด้วยขุนเขาสวยงามราวกับภาพวาด ว่ากันว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดใน Salzkammergut เขตที่อยู่บนอัพเพอร์ออสเตรีย และมีทะเลสาบสวยถึง 76 แห่ง ออสเตรียได้ให้ฉายาเมืองนี้ว่า “ไข่มุกแห่งออสเตรีย” และ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก เมื่อปี 1997

วันที่เดินทาง

9 ต.ค. 67 – 18 ต.ค. 67, 21 ต.ค. 67 – 30 ต.ค. 67

ทัวร์ยุโรป 

วันที่ (1) สนามบินสุวรรณภูมิ
23.00 น. คณะพร้อมกันที่ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบินซาอุเดีย (SV) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกด้านเอกสารการเดินทาง
*** เที่ยวบินหรือเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายการบินเป็นผู้กำหนด ***
ขอสงวนสิทธิ์ในการเลือกที่นั่งบนเครื่องบินเนื่องจากเป็นตั๋วกรุ๊ป การจัดที่นั่งจะเป็นระบบ RANDOM
ที่นั่งอาจจะไม่ได้นั่งติดกัน ทางบริษัทไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของสายการบิน

วันที่ (2) สนามบินเจดดาห์ – สนามบินมิวนิค – มิวนิค (เยอรมนี) – จตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (-/-/-)
02.15 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยสายการบินซาอุเดีย เที่ยวบินที่ SV849 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 8.15 ชั่วโมง) (เวลาประเทศซาอุดิอาระเบีย ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง)
06.30 น. เดินทางถึง สนามบินเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย (เวลาท้องถิ่น) นำท่านแวะพักเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางสู่ประเทศเยอรมนี (รอแวะเปลี่ยนเครื่องประมาณ 3.45 ชั่วโมง)
10.15 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินมิวนิค ประเทศเยอรมนี โดยสายการบินซาอุเดีย เที่ยวบินที่ SV175 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 5.40 ชั่วโมง)
14.55 น. ถึง สนามบินมิวนิค ประเทศเยอรมนี (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง) ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้ว

นำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองมิวนิค (Munich) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) เมืองหลวงที่มีเสน่ห์แห่งแคว้นบาวาเรีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สามของประเทศ ตั้งอยู่บนแม่น้ำอีซาร์เหนือเทือกเขาแอลป์ บนที่ราบสูงบาวาเรีย เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในประเทศเยอรมนี เต็มไปด้วยสถานที่ทางวัฒนธรรมและศาสนา และยังเมืองที่เคยได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในเยอรมัน นำท่านชม มาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz) ในเขตเมืองเก่าที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกับมิวนิค ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่สำหรับงานพิธีต่างๆ ที่สำคัญของเมือง ที่บริเวณจัตุรัสมาเรียนพลัสซ์นี้เราจะได้เห็น ศาลาว่าการใหม่ (New Town Hall) ที่ได้ใช้ทำการแทนศาลาว่าการเก่าตั้งแต่ปี 1874 เห็นได้ง่ายด้วยหอคอยแหลมสูงและการออกแบบและตกแต่งอย่างประณีตไม่แพ้ปราสาทหรือพระราชวัง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และนาฬิกา Glockenspiel หอนาฬิกาที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ บริเวณใกล้กันนั้นเป็น ศาลาว่าการเก่า (Old Town Hall) อาคารสีขาวสะอาดหลังนี้เป็นศาลาว่าการของเมืองมิวนิคมาตั้งแต่ปี 1310 แม้จะผ่านมากว่า 700 ปี ใกล้กันนั้นจะเห็น โบสถ์พระแม่มารี (Frauenkirche-Church of Our Lady) เป็นโบสถ์ทรงหัวหอมคู่ที่สร้างด้วยอิฐแดงสูง 99 เมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองมิวนิคเช่นกัน จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่น หรือช้อปปิ้งตามอัธยาศัย

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
แนะนำ ร้าน HOFBRAUHAUS โรงเบียร์อันขึ้นชื่อแห่งเมืองมิวนิค ที่ท่านต้องไม่พลาดไปดื่มด่ำสักครั้ง โรงเบียร์ในตำนานที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1589 บรรยากาศภายในร้านที่ถูกตกแต่งแบบพื้นเมืองดั้งเดิม ลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่ประกอบไปด้วยโต๊ะอาหารทั้งในและนอกร้าน นอกจากนี้ยังมีวงดนตรีคอยบรรเลงเพิ่มอรรถรสในการดื่มด่ำ และสัมผัสกับรสชาติของเบียร์ที่นี่ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (3) ฮัลล์สตัทท์ หมู่บ้านริมทะเลสาบ (ออสเตรีย) – ซาลส์บวร์ก – สวนมิราเบิล – บ้านเกิดโมสาร์ท – ถนนเกรไทเดร้
(B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หมู่บ้านมรดกโลกอันแสนโรแมนติก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) ที่มีอายุกว่า 4,500 ปี เมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ โอบล้อมด้วยขุนเขาสวยงามราวกับภาพวาด ว่ากันว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดใน Salzkammergut เขตที่อยู่บนอัพเพอร์ออสเตรีย และมีทะเลสาบสวยถึง 76 แห่ง ออสเตรียได้ให้ฉายาเมืองนี้ว่า “ไข่มุกแห่งออสเตรีย” และ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก เมื่อปี 1997

เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (เมนูปลาเทราซ์ ย่าง)

นำท่านเดินทางสู่ เมืองซาลส์บวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองสวยแสนโรแมนติกที่สุดเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป ได้รับการอนุรักษ์เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996 อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนามว่า วูล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) และเป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์อมตะ เรื่อง The Sound of Music ซึ่งทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยเมืองนี้มีอดีตที่เติบโตมาจากการผลิตเกลือและการค้าเกลือซึ่งในยุคนั้นมีค่าประดุจทองคำขาว เกลือจึงเป็นที่มาของทั้งชื่อแคว้นและเมืองแห่งนี้
นำท่านผ่านชม สวนมิราเบล (Mirabell Garden) สวนสาธารณะสไตล์บาโรกที่สวยที่สวยที่สุดในเมือง เดิมเป็นสวนของ พระราชวังมิราเบล (Mirabell Palace) ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่โมสาร์ทเคยมาจัดการแสดง แถมยังเป็นสถานที่ถ่ายทำของ The Sound of Music ด้วย จึงไม่แปลกใจเลยหากที่พระราชวังแห่งนี้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากนั้นนำท่านเดินข้ามสะพานมายัง บ้านเกิดโมสาร์ท (Mozart Geburtshaus) (ชมบริเวณภายนอก) เป็นอาคารสีเหลืองหมายเลข 9 อาคารแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดของโมสาร์ท และเติบโตมาตลอด 20 ปี ก่อนจะย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งข้างๆ กัน ซึ่งปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องดนตรีที่โมสาร์ทเคยใช้ เช่น ไวโอลิน และ เปียโน รวมถึงชีวประวัติและจดหมายที่โมสาร์ทเคยเขียนอีกด้วย (ไม่รวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์) อิสระให้ท่านช้อปปิ้งที่ถนน Getreidegasse (เกรไทเดร้) ที่รวมร้านค้าแบรนด์เนมให้ท่านเลือกมากมาย ทั้งเครื่องประดับ, เครื่องแต่งกายพื้นบ้าน, รวมถึงร้านอาหารนั่งดื่มชิล ๆ จุดเด่นของถนนสายนี้คือป้ายชื่อร้านที่อยู่ด้านหน้าอาคารทำให้เหล่านักท่องเที่ยวได้แหงนมอง

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (4) อินส์บรุค – หลังคาทองคำ – แม่น้ำอินส์ – ซานต้ามาดดาเลน่า (อิตาลี) – โบลซาโน (B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ เมืองอินส์บรุค (Innsbruck) ประเทศออสเตรีย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.45 ชั่วโมง) หัวใจแห่งเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มอินน์ (Inn Valley) ทางตะวันตกของประเทศ เป็นเมืองเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยภูเขาหิมะขนาดใหญ่ยักษ์ประกบอยู่ทางทิศเหนือ และทิศใต้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และสถาปัตยกรรมสวยงามที่สามารถเที่ยวชมได้ทั้งเมือง

อิสระให้ท่านเดินเล่นชมเมืองอินส์บรุค (Innsbruck) บริเวณแลนด์มาร์คของเมือง นั่นคือ “หลังคาทองคำ” สัญลักษณ์สำคัญของเมืองตั้งอยู่ในเขต Old Town ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ส่วนของหลังคาที่ยื่นออกมาจากระเบียงตกแต่งด้วยทองคำแท้ จำนวน 2,738 แผ่น ในการมุงหลังคากว้าง 16 เมตร เพื่อพยายามลบข่าวลือว่าสถานภาพทางการเงินที่ไม่ดีในช่วงนั้น ตกแต่งสวยงามแปลกตา และมีมูลค่าสูงจนไม่สามารถประเมินค่าได้ อาคารสไตล์โกธิคผสมบาโรกนี้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 เพื่อเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสครั้งที่ 2 ของจักรพรรดิแมกมิเลียนที่ 1 ในอดีตจะทรงประทับที่ระเบียง เพื่อทอดพระเนตรกิจกรรม และเทศกาลต่างๆ ที่จัดขึ้นบริเวณจัตุรัสด้านล่าง ใกล้ๆกันท่านจะเห็น City Tower หอคอยเก่าแก่อายุมากกว่า 450 ปี ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Innsbruck มีความสูง 31 เมตร เป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดในเมือง โดดเด่นจนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล เดินถัดมาอีกไม่ไกลท่านจะได้สัมผัสความงดงามของ แม่น้ำอินส์ (Inn River) แม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านอาคารตึกเก่าหลากสี แวะถ่ายรูป Candy House บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำอินน์ กลุ่มอาคารเก่าสีพาสเทลที่ตั้งอยู่เรียงกันริมแม่น้ำ มีวิวภูเขาแอลป์เป็นฉากตระการตา เป็นจุดแลนด์มาร์คห้ามพลาดเช็คอินอีกแห่งหนึ่งของอินส์บรุค

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

จากนั้นนำท่านเก็บภาพความประทับใจกับวิวไฮไลท์ ของเทือกเขา Dolomites ณ Santa Maddalena (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) ถ่ายรูปกับหนึ่งจุดไฮไลต์ด้วยวิวยอดเขาแปลกตาอีกแห่งหนึ่งในโดโลไมท์ ณ โบสถ์ Santa Maddalena โบสถ์ที่ถือเป็นสถานที่ไฮไลต์ทที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุด ในอุทยานโดโลไมท์ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมีฉากหลังเป็นเทือกเขา Odles
นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบลซาโน (Bolzano) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) เมืองที่ผสมผสานความหลากหลายไว้ได้อย่างลงตัว รวมไปถึงความเป็นเมืองเก่า และเมืองใหม่ ทัศนียภาพของเมืองโบลซาโน ทิวภูเขาล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Talvera ไหลลงสู่แม่น้ำ Israco และมารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ Adige

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (5) ทะเลสาบบรายเอียซ – ทะเลสาบมิซูริน่า – คอร์ติน่า ดัมเปซโซ่ – เวนิส เมสเตร้ (B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบบรายเอียซ (Lake Braies) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Fanes Sennes Braies เขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเทือกเขาโดโลไมท์ เพื่อชมความงามของทะเลสาบ ตั้งอยู่ริมขอบทางทิศเหนือของอุทยานมีทางเดินอย่างดีเป็นวงกลมรอบทะเลสาบ อิสระให้ท่านเก็บภาพความประทับใจ

นำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบมิซูริน่า (Lake Misurina) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) ทะเลสาบที่หลบซ่อนตัวในหุบเขาที่ถือเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งใดในโดโลไมท์ อิสระให้ท่านเดินเล่นชมวิวทะเลสาบเก็บภาพสุดแสนประทับใจ

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองคอร์ตินา ดัม เปซโซ่ (Cortina D’ Ampezzo) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) เมืองนี้เป็นเมืองสกีรีสอร์ท Best of The Alps ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) หรือ โดโลมิติ ตามการเรียกขานของชาวอิตาลี เพียงแห่งเดียวในอิตาลีที่ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ของสกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในโลก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไข่มุกแห่งโดโลไมท์ ให้อิสระท่านเดินเล่น เก็บภาพบรรยากาศ ซึมซับกับทัศนียภาพที่สวยงาม และอากาศบริสุทธิ์

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารเย็นตามอัธยาศัย
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเมสเตร้ (Mestre) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองแผ่นดินใหญ่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ถือเป็นเมืองหน้าด่านก่อนเข้าสู่เกาะเวนิส
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (6) เวนิส – สะพานถอนหายใจ – มหาวิหารซานมาร์โก (บริเวณภายนอก) – จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โก – หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค – ปราโต (B/-/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านเดินทางสู่ เวนิส (Venice) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที) เมืองหลวงแห่งภูมิภาค Veneto ของ ประเทศอิตาลี มีลักษณะเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยรวมกันกว่า 100 เกาะ เกิดเป็นลากูน บนทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ผืนน้ำที่คั่นระหว่างเกาะต่างๆ จะมีสะพานเชื่อมถึงกัน พื้นดินทั้งหลายนั้นแท้จริงแล้วเป็นเกาะใหญ่น้อยมาร้อยรวมกันเสมือนผ้าผืนใหญ่ที่อยู่กลางน้ำ สัญลักษณ์ของเวนิส หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับ เรือกอนโดลา (Gondola) กันดี เป็นเรือที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะบริเวณหัวเรือกับท้ายเรือที่มีลักษณะปลายแหลม ความยาวอยู่ที่ 4-5 เมตร กว้างประมาณ 1.2 เมตร และสามารถจุผู้โดยสารได้ 5-6 คน เดิมเป็นเรือที่ใช้ในการอพยพผู้คนที่หนีภัยสงครามในสมัยอาณาจักรโรมัน และมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เวนิส ด้วยความพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเป็นคูคลอง และทะเล เรือจึงเป็นยานพาหนะสำคัญในการเดินทางสันจร และการขนส่งของเมือง

นำท่านนั่งเรือโดยสารข้ามไปยังเกาะเวนิส ท่านจะได้เห็น สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ในอดีต ชั้นใต้ดินของพระราชวังดูคาเล่ มีคุกขังนักโทษ ที่จะถูกเชื่อมด้วยทางเดินแคบๆ ไปยังสะพานข้ามคลองสู่แดนคุมขัง สะพานแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า สะพานถอนหายใจ (Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs) ตามอาการของนักโทษที่เดินข้ามสะพานและกำลังจะหมดอิสรภาพนั่นเอง ปัจจุบันคุกใต้ดินไม่ได้ใช้งานแล้ว และสะพานถอนหายใจแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของการนั่งเรือกอนโดลาชมเมือง

เดินถัดมาไม่ไกลมากนัก ท่านจะพบกับ หอระฆังซานมาร์โก (San Marco Campile) เป็นหอระฆังสูงถึง 98 เมตร ที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิหารซานมาร์โก เรียกว่าเป็นจุดเด่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลาง จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค (Piazza San Marco) เลยทีเดียว ที่นี่เป็นอีกแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และบริเวณมุมหนึ่งของจัตุรัส เราจะพบกับ หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค (Torre dell’Orologio) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเวนิสที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 15 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเวเนเชียนเรอเนสซองส์ หน้าปัดนาฬิกาเป็นสีน้ำเงิน ตกแต่งด้วยลวดลายสีทองของ 12 ราศี ส่วนด้านบนเป็นลวดลายโมเซคสีน้ำเงินสลับทองด้วยเช่นกัน เป็นการแต่งเติมเมื่อปี ค.ศ. 1755 โดย Giorgio Massari สถาปนิกชาวเวนิสสมัยบาโรก

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองปราโต (Prato) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.45 ชั่วโมง) ซึ่อยู่ในแคว้นทอสคานา เมืองหลักของจังหวัดปราโต ประเทศอิตาลี ประชากรมีมากกว่า 193,000 คน ปราโตเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแคว้นตอสคานา และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอิตาลีกลาง เป็นรองกรุงโรมและฟลอเรนซ์

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (7) ฟลอเรนซ์ – ปิซ่า – หอเอนปิซ่า (B/-/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก
นำทุกท่านเดินทางไปยัง สถานีรถไฟ Sesto Fiorentino (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที) เพื่อเดินทางเข้าสู่ เมือง ฟลอเรนซ์ (Florence) เมืองที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งศิลปะในยุคเรอเนสซองส์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มี โบราณสถานสําคัญ และมีทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกจาก องค์กรยูเนสโก้เมื่อ ปี ค.ศ.1982 ทําให้ทัสคานีมีชื่อเสียงในฐานะดินแดนท่องเที่ยวยอดนิยมระดับโลก อิตาลี ท่านจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ และอลังการของ มหาวิหารซานตา มาเรีย เดล ฟิโอเร (Santa Maria Dell Fiore) วิหารของเมืองฟลอเรนซ์ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4ของทวีปยุโรป ซึ่งโดด เด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้หินอ่อนหลายสีตกแต่งผสมผสานกันได้อย่างงดงาม นําชม จัตุรัสเดลลา ซิญญอเรีย (Piazza Della Signoria) ซึ่งรายล้อมไปด้วยรูปปั้น อาทิ เช่น รูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน (Fountain Of Neptune), วีรบุรุษเปอร์ซิอุสถือหัวเมดูซ่า (Perseus With The Head Of Medusa), รูปปั้นเดวิด ผลงานที่มีชื่อเสียงของ ไมเคิล แองเจโล่ จากนั้นเดินไปไม่ไกล ริมฝั่งแม่น้ำอาร์โน ท่านจะพบกับ สะพานเวคคิโอ (Vecchio) สะพานเก่าแก่ที่มีมีร้านขายทอง และอัญมณีอยู่ทั้งสองข้างสะพาน ให้เวลาท่านอิสระเลือกซื้อสินค้าทั้งของฝาก ของที่ระลึก รวมทั้งสินค้าแฟชั่นนําสมัย

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

นำท่านเดินทางสู่ เมืองปิซ่า (Pisa) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.15 ชั่วโมง) เมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นทอสคานา ประเทศอิตาลี จุดมุ่งหมายที่นักท่องเที่ยวต่างมาเยือนคือการชม หอเอนเมืองปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 200 ปี

นำท่านชม จัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ประกอบไปด้วย มหาวิหารเมืองปิซ่า (Pisa Cathedral) หอศีลจุ่ม (Pisa Baptistery) และ หอระฆัง (Leaning Tower of Pisa) ที่เป็นแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงระดับโลก การก่อสร้างของหอระฆังแห่งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 ไม่ปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นคนออกแบบ เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น การก่อสร้างก็มีอันต้องยุติลง เพราะเมืองปิซ่าเข้าสู่ภาวะสงคราม ระหว่างการก่อสร้างช่วงแรก เพียงแค่ 5 ปี หลังจากเริ่มทำการก่อสร้างก็พบว่า หอคอยแห่งนี้ก็เริ่มเอนลงไปทางเหนือแล้ว โดยครั้งแรกที่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของหอคอยแห่งนี้ก็ในช่วงที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมช่วงที่สอง แต่ทว่าสถาปนิก จิโอวานนี ดิ ซิโมเน ก็ยังคงเดินหน้าสร้างต่อ โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุกๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (8) ลา สเปเซีย – ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) – หมู่บ้านริโอ แมกจิโอเร่ (Rio – Maggiore) – หมู่บ้านมานาโรล่า (Manarola) – หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) – เลวานโต้ – เจนัว – จตุรัส Piazza De Ferrari – บ้านโคลัมบัส
(B/-/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นําท่านเดินทางสู่ สถานีรถไฟ ลา สเปเซีย (La Spezia) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) เพื่อนั่งรถไฟ สู่ ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งริเวียร่าของอิตาลี ที่มีความหมายว่า “ดินแดนทั้งห้า (Five Land)” ตั้งบนหน้าผาสูงชันเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ติดทะเลบริเวณชายฝั่งแคว้นลิกูเรีย ประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่ง ได้แก่ MONTEROSSO AL MARE, VERNAZZA, CORNIGLIA, MANAROLA และ RIO MAGGIORE โดยทั้งห้าหมู่บ้านนี้มีหุบเขาล้อมรอบ ประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฯ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้อีกด้วย
นําท่านเดินเล่นชม หมู่บ้านริโอแมกจิโอเร่ (Rio-Maggiore) เป็นหมู่บ้านประมง เล็กๆ ที่มีเสน่ห์และมีบรรยากาศเหมือนเมืองตุ๊กตา บ้านเรือนที่ตั้งลดหลั่นกันบนหน้าผาที่ปกคลุมด้วย ต้นไม้เขียวขจีตัดกับนํ้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีเทอร์ควอยซ์

กลับขึ้นรถไฟไปต่อยัง หมู่บ้านมานาโรล่า (Manarola) ที่ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดในห้าหมู่บ้าน ที่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1338 อาคารสีสันสดใสที่ตั้งเรียงรายไล่ระดับลงมาหน้าผา ตัดกับสีของน้ำทะเลที่ท่านจะต้องเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นชมเมือง

นำท่านกลับขึ้นรถไฟไปต่อยัง หมู่บ้านเวร์นาซซา (Vernazza) หมู่บ้านชาวชาวประมงเล็กๆ ที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามของบ้านเรือนที่อยู่ติดทะเล โดยมีโบสถ์หลังเล็กตั้งเด่นเป็นเเลนด์มาร์คอยู่ริมอ่าวคือ โบสถ์ Santa Margherita Di Antiochia สร้างขึ้นตั้งเเต่ราวศตวรรษที่ 9 มี หอนาฬิกาเเปดเหลี่ยม ตั้งอยู่โดดเด่นเป็นสง่า ไม่ไกลจากโบสถ์จะมีบันไดทางขึ้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างตึก เมื่อเดินตามทางขึ้นไปเรื่อยๆ จะพาเรามาอยู่ด้านหลังของโบสถ์ Santa Margherita หลังจากเดินผ่านจุด Check Point ไปอีกเล็กน้อย จะเป็นจุดชมวิว และจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุดของหมู่บ้าน Vernazz จากจุดนี้ เราจะสามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนหลากสีที่ตั้งอยู่ลดหลั่น ตัดกับท้องฟ้าสดใส และท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
สมควรแก่เวลานำท่านขึ้นรถไฟกลับสู่เมืองเลวานโต้ เดินทางสู่เมือง เมืองเจนัว (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) ชม จัตุรัส Piazza De Ferrari ศูนย์กลางของเมือง Genoa มีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่กลางจัตุรัส และโดยรอบก็จะเป็นอาคารสำคัญต่างๆ ของเมือง เช่น ธนาคาร, สำนักงานของรัฐบาล, Palazzo Ducale วังเก่าที่ปัจจุบันทำเป็นสถานที่แสดงงานศิลปะ และ Teatro Carlo Felice (Theatre Carlo Felice) โรงโอเปราที่มีรูปปั้นของคีตกวี นักไวโอลินระดับโลก Niccolo Paganini อนุสาวรีย์ Monumento A Garibaldi

ใกล้กันนั้น นำท่านชม บ้านคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (ด้านนอก) ในเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นบ้านที่โคล้มบัสเติบโตขึ้นมา โครงเดิมน่าจะถูกทำลายระหว่างการทิ้งระเบิดที่เมืองเจนัวในปี ค.ศ. 1684

เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร
ที่พัก  โรงแรมมาตรฐาน 3-4 ดาว หรือเทียบเท่า

วันที่ (9) มิลาน – มหาวิหารดูโอโม มิลาน – ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองมิลาน (Galleria Vittorio Emanuele II) – สนามบินมิลาน (B/-/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองมิลาน (Milan) หรือที่คนอิตาเลียนเรียกว่า “ มิลาโน่ (Milano) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) มิลานเป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดีย เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือใหญ่อันดับ 2 ของประเทศอิตาลี มีประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมที่หลากหลายผ่านสถานที่สำคัญมากมาย เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองผู้นำแฟชั่นระดับแนวหน้าของโลก มีชื่อเสียงในการเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้าแฟชั่นโมเดิร์นที่มีความทันสมัย เช่นเดียวกับ ปารีส และ นิวยอร์ค อีกทั้งมิลานยังเป็นหัวใจด้านเศรษฐกิจของอิตาลีเพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมเขตอุสาหกรรมที่หนาแน่นที่สุดของประเทศและเป็นศูนย์กลางการเดินทางเข้าอิตาลี โดยเฉพาะรถไฟมาจากประเทศอื่นๆในยุโรป มีสถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองมิลานที่สุดก็คือ “มหาวิหารดูโอโม่” (Duomo di Milano)

ชม มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน วิหารโอ่อ่าใหญ่โตอลังการ สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคสีขาวเด่นสวยงาม เป็นอันดับ 3 ของโลก เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 แต่ระหว่างการก่อสร้างก็พบกับปัญหา และอุปสรรคมากมาย ทั้งปัญหาการเมือง และการเงิน กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้เวลาไปถึง 579 ปี เปลี่ยนคนก่อสร้างไปหลายชั่วอายุคน แต่มีสถาปนิกที่คุมการก่อสร้าง ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้นั่นก็คือ ลีโอนาโด นาวินชี ศิลปินชื่อก้องโลก วิหารนั้นมีการประดับประดาไปด้วยรูปปั้นกว่า 3,200 รูปที่สวยงาม และมียอดรวม 135 ยอด จนได้รับฉายาว่า “วิหารเม่น” บริเวณใกล้กันจะเป็น ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองมิลาน (Galleria Vittorio Emanuele II) ที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่สุดในอิตาลี และเรียกได้ว่า เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมิลาน ศูนย์การค้าสุดหรูของผู้หลงใหลแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศแห่งนี้ Galleria Vittorio manuele II ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ The Duomo

เพื่อให้ท่านได้เพลิดเพลินในการเดินเล่นอย่างเต็มอิ่มจุใจ อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่ สนามบินมิลาน

16.05 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยสายการบินซาอุเดีย เที่ยวบินที่ SV210 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 5.15 ชั่วโมง) (เวลาประเทศซาอุดิอาระเบีย ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง)
22.20 น. เดินทางถึง สนามบินเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย (เวลาท้องถิ่น) นำท่านแวะพักเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางสู่ประเทศไทย (รอแวะเปลี่ยนเครื่องประมาณ 3.10 ชั่วโมง)

วันที่ (10) สนามบินเจดดาห์ – สนามบินสุวรรณภูมิ
01.30 น. ออกเดินทางสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสายการบินซาอุเดีย เที่ยวบินที่ SV844 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง) (ใช้เวลาบินประมาณ 8.15 ชั่วโมง)
13.45 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

ทัวร์ยุโรป