123730

ทัวร์โมรอคโค FANTASTIC MOROCCO 10 Days / 7 Nights (EK)

ราคาเริ่มต้น 103,900 ฿ ดาวน์โหลด PDF จองทัวร์

สายการบิน: Image

นำท่านชมสุเหร่า คูโตเบีย (Kutobia Mosque)เป็นสุเหร่า ที่มีหอคอยสูง ถึง 70 เมตร สร้างในสมัยราชวงศ์ อัลโมฮัด ซึ่งเป็นหอคอย 1 ใน สามพี่น้อง เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ถึงความยิ่งใหญ่ ในสมัยราชวงศ์นี้ ชมซากสุเหร่าซึ่งเป็นอนุสรณ์ แห่งความขัดแย้งของ 2 ลัทธิ ซึ่งมีมาในอดีต นำท่านแวะจัตุรัส Djemaa el Fna Square จุดเช็คพอยท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเช็คอินเลยก็ว่าได้เมื่อมาเยือน มาร์ราเกช สัมผัสความคึกคักและเสน่ห์ของเมืองมาร์ราเกช ซึ่งมีอะไรให้ดูมากมาย ตั้งแต่การแสดงโชว์งูของหมองู การแสดงเปิดหมวกต่างๆ ของคนท้องถิ่น

วันที่เดินทาง

14 ต.ค. 67 – 23 ต.ค. 67

ทัวร์โมรอคโค

วันแรก(วันที่ 14ต.ค.67) กรุงเทพฯ (Bangkok) – สนามบินดูไบ
22.30 น. ทุกท่านพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิฯ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 เคาน์เตอร์สายการบิน
เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ เจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและทำการเช็คอิน(เคาน์เตอร์ U ประตู 10)
วันที่สอง (วันที่ 15 ต.ค.67) สนามบินดูไบ – คาซาบลังกา (Casablanca)– มาราเกช (Marakech)
01.35 น. บินสู่กรุงดูไบประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์เที่ยวบินที่EK385เชิญเพลิดเพลินกับจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง พร้อมบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน
04.45 น. ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พักเปลี่ยนอิริยาบถและเปลี่ยนเครื่อง
07.30 น. บินต่อ สู่เมืองคาซาบลังกา สายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์เที่ยวบิน EK751
12.45 น. เดินทางสนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า (Casablanca)ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่นในประเทศโมรอคโค ช้ากว่าประเทศไทย 6 ช.ม.)หลังผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่น
นำท่านเดินทางสู่ เมืองมาราเกช (MARRAKECH) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ตั้งอยู่แถบชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐ ที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A City of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้อีกมากมาย
บ่าย ให้ท่านอิสระช้อปปิ้งที่ตลาดThe Souks ตลาดใหญ่กลางเมืองมาราเกซสินค้าก็มีอย่างหลากหลายตั้งแต่
งานฝีมือ สไตล์โมรอคโคแท้ เครื่องเทศ เครื่องหอม เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋าและอื่นๆ ให้ท่านได้เลือกซื้อ
นำท่านชมสุเหร่า คูโตเบีย (Kutobia Mosque)เป็นสุเหร่า ที่มีหอคอยสูง ถึง 70 เมตร สร้างในสมัยราชวงศ์ อัลโมฮัด ซึ่งเป็นหอคอย 1 ใน สามพี่น้อง เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ถึงความยิ่งใหญ่ ในสมัยราชวงศ์นี้ ชมซากสุเหร่าซึ่งเป็นอนุสรณ์ แห่งความขัดแย้งของ 2 ลัทธิ ซึ่งมีมาในอดีต นำท่านแวะจัตุรัส Djemaa el Fna Square จุดเช็คพอยท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเช็คอินเลยก็ว่าได้เมื่อมาเยือน มาร์ราเกช สัมผัสความคึกคักและเสน่ห์ของเมืองมาร์ราเกช ซึ่งมีอะไรให้ดูมากมาย ตั้งแต่การแสดงโชว์งูของหมองู การแสดงเปิดหมวกต่างๆ ของคนท้องถิ่น
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ในโรงแรม
พักที่ Palm Plaza Hotel Marrakech 5*หรือเทียบเท่า
วันที่สาม (วันที่ 16 ต.ค.67) มาราเกช (Marakech)– เอท เบน ฮัดโด( Ait Ben Haddou)– วอซาเซท (Ouarzazate)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
นำท่านเดินทางสู่ สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint Laurent Gardens) ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกช หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกช ก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้ที่สดใส ฉูดฉาด เช่นสีน้ำเงิน และสีส้ม เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมการจัดวางพรรณไม้อันหลากหลาย แห่งทะเลทราย ที่จัดได้อย่างสวยงามและลงตัว
ท่านชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น สร้างขึ้นและตั้งชื่อวังตามชื่อของภรรยาคือ นางบาเฮีย ซี่งมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ยิ่งของท่านมหาอำมาตย์ พระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น (Stucco) บนเพดานและบานประตูมีการวาดลายโดยใช้สีธรรมชาติบนไม้สนซีดาร์ และผนังประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก ชมสวนในบ้านซึ่งเป็นสไตล์ริยาด (Riad) ประกอบไปด้วยลานกลางบ้าน ซึ่งประดับด้วยน้ำพุ และสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ตามสไตล์การแต่งบ้านแบบโมรอคโค
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองเอทเบน ฮัดโด (AIT BEN HADDOU) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองมาราเกช เส้นทางข้ามเทือกเขาไฮแอทลาส ทางคดเคี้ยวกับภูเขาสลับซับซ้อนสลับกับทุ่งเกษตรแบบขั้นบันได ให้ท่านเพลินตากับสีสัน วิถีชีวิตของคนท้องถิ่น นำท่านชม เมืองเอทเบน ฮัดโด เป็นเมืองที่ชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในโมรอคโคภาคใต้ คือ ป้อมเอทเบน ฮัดโด (Kasbash of Ait Ben Haddou) เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก

นำท่านเดินทางสู่เมืองวอซาเซท (Ouarzazate)เคยเป็นที่ตั้งยุทธศาสตร์ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกำลังทหาร และพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วย สตูดิโอภาพยนตร์
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรม
พักที่ OSCAR HOTEL OUARZAZATE ระดับ 4* หรือเทียบเท่า
*** เชิญท่านเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืนของทะเลทรายซาฮาร่า และชมดวงดาวบนท้องฟ้า ***
***กรุณาจัดเตรียมเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ใส่กระเป๋าเล็ก แยกไว้เพื่อใช้ในการค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่า ในคืนวันพรุ่งนี้

วันที่สี่ (วันที่ 17 ต.ค.67) วอซาเซท(Ouarzazate) – ทินเฮียร์ (Tinerhir)- ทอดร้าจอร์จTodraGrorge–
แอร์ฟูด์ (Erfoud)- มอร์ซูก้า (Merzouga)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
นำท่านเดินทางสู่เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) เดินทางข้ามเขา มิดเดิล แอตลาส (Middle Atlas) ผ่านเส้นทางความสูง 3,090 เมตร ปกคลุมด้วยหิมะ และต้นสนขนาดใหญ่ ผ่านหุบเขาดาเดดส์ (Dades)หุบเขานี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รู้จักกันในชื่อ ทอดร้าจอร์จ (Todra Gorge)แนวเทือกเขาทางธรรมชาติที่สวยงาม มีหลายรูปร่างแปลกตาซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม

กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านผ่านเมืองเอร์ฟูด์ (Erfoud)ซึ่งเป็นโอเอซิสศูนย์กลางของกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันออกกลางอย่างเช่นซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกาเดินทางสู่ เมืองทินเฮียร์ (Tingrhir) แวะชมโอเอซิส Tinerhir ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ หรือ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากเมืองวอซาเซท
แล้วเดินทางสู่เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำ
กิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว – ฤดูใบไม้ผลิ (พ.ย.– เม.ย.)) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน ก่อนถึงเมืองซอซาเซท แวะชมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกุหลาบที่เมืองมากูน่า (Merzouga) (เทศกาลกุหลาบจะจัดขึ้นประมาณเดือนพฤษภาคม)
นำท่านหยิบกระเป๋าใบเล็กที่แยกเตรียมไว้และของใช้ที่จำเป็นเข้าพักเมืองเมอร์ซูก้าร์ (MERZOUGA)เดินทางโดยรถ 4×4 (4WD) (รถ 4 WD นั่งคันละ 4–5 ท่าน) เข้าสู่ทะเลทรายซาฮาร่าในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลทรายในทวีปแอนตาร์กติกา) และเป็นทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก(ระยะทาง 54 ก.ม. ใช้เวลา 45 นาที) ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ที่พัก
พักที่ SAHARA LUXURY CAMP MERZOUGA ระดับ 4* หรือเทียบเท่า
*** เชิญท่านเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืนของทะเลทรายซาฮาร่า และชมดวงดาวบนท้องฟ้า ***
นำท่านหยิบกระเป๋าใบเล็กที่แยกเตรียมไว้และของใช้ที่จำเป็นเข้าพักเมืองเมอร์ซูก้าร์ (MERZOUGA)เดินทางโดยรถ 4×4 (4WD) (รถ 4 WD นั่งคันละ 4–5 ท่าน) เข้าสู่ทะเลทรายซาฮาร่าในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลทรายในทวีปแอนตาร์กติกา) และเป็นทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก(ระยะทาง 54 ก.ม. ใช้เวลา 45 นาที) ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ
วันที่ห้า (วันที่ 18 ต.ค.67) มอร์ซูก้า (Merzouga)- แอร์ฟูด์ (Erfoud)-ราชิดิยา(Rachidia)-มิเดลท์(Midelt)–
เมืองอิเฟรน (Ifrane) – เฟส (Fes)

ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนำท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า (ขี่อูฐ ท่านละ 1 ตัว) ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งสวยงาม น่าประทับใจได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
นำคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 (4WD) ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่ เมืองเอร์ฟูด์(Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ชออกเดินทางสู่เมืองเอร์ฟูด์ (Erfoud) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางของกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันออกกลางอย่างเช่นซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกานำท่านชมโรงงานที่ตัดภูเขาเพื่อนำเอาหินซึ่งมีซากฟอสซิล มาผลิตเป็นเครื่องใช้ ในอดีตเมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเล ต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย
นำท่านเดินทางสู่เมืองมิเดลท์(Midelt) (ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ช.ม.) เป็นจุดแวะพักของนักผจญภัย ที่ชอบความท้าทายในการเดินเขาที่มีบรรยากาศแห้งแล้ง ของทะเลทรายซาฮาร่า ผ่านภูมิประเทศที่เขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ ป่าสนซีดาร์ บางช่วงต้นไม้เป็นพุ่มเตี้ยแปลกตา บางช่วงเป็นพื้นราบทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ที่มีทิวเขาเป็นฉากหลัง อันงดงาม
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางสู่เมืองอิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.)อิเฟรน (Ifrane) เป็นเมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นในบริเวณนี้ ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า “เจนีวาแห่งโมรอคโค” หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมรอคโค ถ่ายรูปกับอนุสรณ์สิงห์โตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้ เพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นในเมืองเล็ก ๆ ที่มีอากาศบริสุทธิ์ และธรรมชาติอันน่าประทับใจ ได้เวลาอันสมควร
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองเฟส (Fes) นำท่านเดินทางสู่ (ระยะทาง 82 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชม.) เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาตั้งแต่ยุค ศตวรรษ ที่ 8 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟซึ่งเฟสเป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและมีเสน่ห์อันน่าประทับใจ
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ที่โรงแรม
พักที่ โรงแรม BARCELO HOTEL FES 4* หรือเทียบเท่า
วันที่หก (วันที่ 19 ต.ค.67) เฟส (Fes)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
นำท่านชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง เป็นพ่อค้าผูกขาดการค้าเกลือ แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธ์สัญญา(ประเทศอิสราเอล) คงเหลือประชากรชาวยิวอยู่ไม่มากนัก
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเมืองเฟส ผ่านประตู Bab BouJeloudที่สร้างตั้งแต่ปี 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต
นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 9,400 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็ก ๆ ที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามระหว่างที่เดินตามทางในเมดิ
นำท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ(Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่าบางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น แวะชมสุสานของกษัตริย์ มูเล ไอดริสที่ 2 (Moulay IdrissMausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัตและหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร นำท่านชมสุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque)ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) ชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ เมืองเฟส จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่เมืองเก่าเฟส ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (MerdersaBouImania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ชมร้านทองเหลือง ซึ่งช่างฝีมือที่ทำทองเหลืองเป็นช่างที่ได้รับการถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายชั่วอายุคน ในอดีตช่างฝีมือ และ ช่างหัตถกรรมเหล่านี้ ได้สร้างสรรค์ผลงานอันวิจิตรงดงาม ในแคว้น อัล อันดาลูซ ประเทศสเปน เมื่อครั้งที่ชาวโมรอคคันเบอร์เบอร์ปกครองแคว้น อัล อันดาลูซ ของสเปน และนำท่านชมย่าน Mellahเป็นย่านที่เคยมีชาวยิวพักอาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอยชมการผลิตโมเสค (Mosaic) และเครื่องใช้ที่ทำจากเซรามิค ชมกรรมวิธีการทำ ซิลิจ Zeiligeซึ่งเป็นกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม ดังความงามได้ปรากฏจนเป็นที่เลื่องลือกันในประเทศสเปน โดยเฉพาะการปูกระเบื้องโมเสคที่ตัดและจัดลวดลายที่ละชิ้นหรือที่เรียกว่า ซิลลิจ ได้อย่างลงตัว
นำท่านสู่ป้อมปราการและเมืองหลวง (Fes Jdid)พระราชวังแห่งนี้ถูกครอบครองโดยส่วนใหญ่โดยพระราชวังประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลในโมร็อกโก

ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ที่โรงแรม
พักที่ โรงแรม BARCELO HOTEL FES 4* หรือเทียบเท่า
วันที่เจ็ด (วันที่ 20 ต.ค.67) เฟส (Fes) – เมคเนส (Meknes)- โวลูบิลิส (Volubilis) -เชฟชาอูน (Chefchaouen)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
นำท่านออกเดินทางสู่เมือง เมคเนส (Meknes) (ระยะทาง 195 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 เดินทางถึงเมือง เมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่านมูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางสู่เมืองนำท่านเดินทางต่อ สู่ นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองที่ได้ชื่อว่า “ มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโค “ แม้ว่าโมรอคโคจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา แต่เพราะการที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก จึงทำให้ภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและ สเปน เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 540 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดในปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจนบัดนี้ประชากรที่มีประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย อากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองเชฟชาอูนได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที้ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาว ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนมิรู้ลืม
นำท่านเดินชมเมืองเชฟชาอูน เมืองที่ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้า นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ประกอบกับอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาว แห่งนี้ทีเดียว
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรม
พักที่DAR BA SIDI HOTELCHEFCHAOUEN / VANCIIระดับ 4 * หรือเทียบเท่า
วันที่แปด (วันที่ 21 ต.ค.67) เชฟชาอูน (Chefchaouen) – ราบัต (Rabat)- คาซาบลังกา (Casablanca)
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
แล้วเดินทางสู่เมืองราบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค (ระยะทาง115 กม.เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.)
นำท่านชมหอคอยฮาซัน (Hassan Tower) และ สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5พระอัยกา(ปู่) ของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตูและเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จและพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183×139 เมตร ชมหอคอยฮาซัน (Hassan Tower)
นำท่านชม ป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปน และเป็น เมดิน่า หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า-ขาว บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมรอคโคในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม ครองโมรอคโค
นำท่านผ่านเมืองเอลจาดีด้า (El Jadida)(ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.) เดิมชื่อ มาซากัน (Mazagan) เป็นภาษาโปรตุเกสเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนอ่าวชายฝั่งทะเลแอตแลนติค เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมรอคโคที่ทำการค้ากับชาวฟินีเชียนมีประชากร 144,440 คน (ค.ศ. 2004)ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1502 อยู่ใต้การปกครองของโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1769 แล้วนำท่านดูป้อมเมืองป้อมปราการแอลฌาดีดาได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ. 2004
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย หลังจากนั้นนำท่านต่อไปยัง เมืองคาซาบลังกา(ใช้ประมาณ 1.30 ชม.)นำท่านเข้าชมสุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก เมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธี ทางศาสนาอิสลามได้ร่วม 80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าอีก 55,000 คน ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงาม ของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
อิสระให้ท่านช้อปปิ้งที่ ห้าง Morocco Mall เป็นห้างที่บรรดาไฮโซ และเศรษฐี ในคาซาบลังก้านิยมมาจับจ่ายซื้อสินค้าแบรนด์ดัง ชมเมืองคาซาบลังก้า ผ่านย่านธุรกิจสำคัญ จัตุรัสสหประชาชาติ ผ่านชมย่านบ้านพักตากอากาศและวิว ทิวทัศน์ริมมหาสมุทรแอตแลนติคซึ่งเป็นย่านที่เศรษฐีและผู้มีฐานะทางสังคมนิยมมาอยู่กันรวมถึงกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียก็มาสร้างพระราชวังไว้ที่เมืองคาซาบลังก้าแห่งนี้พร้อมทั้งมีมัสยิดและหอสมุดส่วนพระองค์
ค่ำ รับประทานอาหารจีน ณ ภัตตาคาร
พักที่CASABLANCA GRAND MOGADOOR HOTELหรือเทียบเท่า5*

วันที่เก้า (วันที่ 22 ต.ค.67) คาซาบลังกา(Casablanca)-สนามบินดูไบ
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์
11.30 น. นำท่านเดินทางสู่สนามบินนานาชาติคาซาบลังก้า
14.45 น. บินสู่สนามบินดูไบประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์เที่ยวบินที่ EK752
วันที่สิบ (วันที่ 23 ต.ค.67) อาบูดาบี (Abu Dhabi) – กรุงเทพฯ (Bangkok)
01.15 น. ถึงสนามบินดูไบ, สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์พักเปลี่ยนอริยาบถและเปลี่ยนเครื่อง
03.45 น. เดินทางต่อสู่ประเทศไทยเอมิเรตส์โดยสายการบิน เอมิเรตส์ แอร์ไลน์เที่ยวบินที่ EK376
13.25 น. คณะเดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยความสวัสดิภาพ และความประทับใจ

ทัวร์โมรอคโค