(PV-MOR-VA10D7N-EK)

ทัวร์โมรอคโค VACATIONS TIME TO MOROCCO 10 วัน 7 คืน (EK)

ราคาเริ่มต้น 89,988 ฿ ดาวน์โหลด PDF จองทัวร์

สายการบิน: Image

นำท่านเดินทางผ่านเมือง อิเฟรน IFRANE หรือที่เรียกว่า สวิตเซอร์แลนด์น้อย เป็นโอเอซิสแห่งความสดชื่นและความเขียวขจีเป็นพื้นที่แห่งธรรมชาติ ความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศของเศรษฐีโมร็อคโคและยุโรป ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เมืองนี้ยังได้ชื่อว่า ‘เจนีวาแห่งโมร็อคโค’ มีทะเลสาบสวยงาม และมีรูปปั้นสิงโตเป็นสัญลักษณ์อยุ่ใจกลางเมืองในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงโตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดจากเทือกเขาแห่งนี้

วันที่เดินทาง

มิถุนายน 67 – ตุลาคม 67

ทัวร์โมรอคโค
วันแรก กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ – ดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) (-/-/-)
22.00 น. คณะเดินทางพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ประตูที่ 8 เคาน์เตอร์ T โดยสายการบินเอมิเรตส์ ( EK ) โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเรื่องเอกสารและสัมภาระ
วันที่สอง ดูไบ (DXB) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ – คาซาบลังกา (CMN) – เมืองมาราเกช (MARAKESH) (-/-/D)
01.35 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ (DXB) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK385(บริการอาหารบนเครื่อง ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 10 นาที)
04.45 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง

( การต่อเครื่องที่ DXB ดูไบ ระยะเวลาการเชื่อมต่อ : 2 ชั่วโมง 45 นาที )
07.30 น.  ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดูไบ DXB สู่ สนามบินมุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล
(คาซาบลังกา) CMN
ประเทศโมร็อกโก โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK751
12.45 น. เดินทางถึง สนามบินมุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (คาซาบลังกา) CMN
(เวลาท้องถิ่นที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง)
นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระ เดินทางเข้าสู่เมืองคาซาบลังก้า เมืองท่าหลักและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโมร๊อกโก คาซาบลังก้า มีความหมายในภาษาสเปนว่า “บ้านสีขาว” ปัจจุบันเมืองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
นำทุกท่านแวะชมถ่ายรูปด้านนอก สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (HASSAN ll MOSQUE) สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ถือว่าเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโมร็อกโก มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 13 ของมัสยิดโลก สถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้อาจไม่ได้เก่าแก่มากนัก เพราะพึ่งเสร็จมาเมื่อปี 1993 ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 6 ปี มัสยิดแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยมิเชล แปงโช สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ใช้ศิลปะสไตล์โมร็อกโกมีการใช้เทคโนโลยีสุดทันสมัยผสมผสานเข้าไปด้วย มีหอคอยสูง 120 เมตร สามารถจุคนได้สูงถึง 25,000 คน วัตถุประสงค์หลักสำหรับการสร้างมัสยิดแห่งนี้ก็คือวาระเฉลิมฉลองพระชนม์ครบ 60 พรรษา ขององค์กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 แห่งโมร็อกโกและใช้เป็นสถานที่สำคัญในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

จากนั้นนำทุกท่านเดินทางมุ่ง สู่ เมืองมาราเกชโมร็อกโก (MARRAKECH) โดยระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร เมืองมาราเกช (MARAKESH) เป็นเมืองแห่งทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นทะเลทรายที่ร้อนที่สุดของโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วง ศ.ต.ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า PINK CITY หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A CITY OF DRAMA นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม PALM PLAZA OR ADAM PARK ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่สาม เมืองมาราเกช (MARAKESH) (B/L/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เขตเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า เมดิน่า ซึ่งมีกำแพงเมืองล้อมรอบ นำชมสุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (SAADLAN TOMBS) ที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ และเปิดให้เข้าชมความงดงามในแบบฉบับของศิลปะแบบมัวริส(MOORISH) แท้ๆ ความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้างขึ้นใหม่ โดยเขาว่า ทำตามแบบ Allah’s Paradise

จากนั้นนำ ชมพระราชวังบาเฮีย BAHIA PALACE พระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น ภายในพระราชวังบาเฮียมีห้องทั้งหมดราว 150 ห้อง ตกแต่งด้วยปูนปั้นแกะสลักและการวาดลวดลายบนไม้และประดับประดาด้วยโมเสกที่มีลวดลายละเอียดอ่อนช้อยสวยงาม

เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้านอาหาร LE PETIT THAI RESTAURANT
นำทุกท่านชม จัตุรัสกลางเมือง (DJEMAA FNAA SQUARE) ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาดทั้ง 4 ด้าน
ชม มัสยิด คูตูเบีย (KOUTOUBIA MOSQUE) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ จากหอวังที่มีความสูง 226 ฟิต (70 เมตร) ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในมาราเกซ เราก็จะมองเห็นสุเหร่าแห่งนี้ อิสระให้ทางเก็บภาพเมืองมาราเกซ เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวติดอันดับโลก

ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม PALM PLAZA OR ADAM PARK ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่สี่ เมืองมาราเกช (MARAKESH) – เมืองไอท์ เบนฮาดดู (AIT BENHADDOU) –
ออร์ซาเอท (OUARZAZATE) (B/L/D)

เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม MAJORELLE GARDEN หรือ JARDIN MAJORELLE & MUSEUM OF ISLAMICART ว่ากันว่าเป็นสวรรค์น้อยๆ ย่านเมืองมาราเกช สวนแห่งนี้เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาจากทั่วโลก โดยเฉพาะต้นกระบองเพชรนับพันต้น หลากหลายสายพันธุ์ มีสวนบัว และป่าไม่ดูร่มรื่น กับบรรดากระถางดินที่ศิลปินเจ้าของเดิม Jacques Majorelle ที่สรรหาสีมาป้ายทาทับ ตกแต่งทำให้สวนแห่งนี้ดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ สวนแห่งนี้เดิมเป็นบ้านของศิลปินชาวฝรั่งเศส เขาสร้างบ้าน และสวนเอาไว้อยู่เอง พร้อมสร้างงานศิลปะของเขาต่อมาสถานที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ รวบรวมเอาศิลปะของโมรอคโคไว้ และมีมุมแสดงงานศิลปะของเจ้าของเดิมเอาไว้ด้วย

เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ AIT BEN HADDOU RESTAURANT (CHEZ MAKTOUB)
เดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู (AIT BENHADDOU) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่มีอาคารต่างๆ สร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (KASBASH OF AIT BEB HADOU) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้
จากนั้นเดินทางต่อ สู่เมืองวอซาเซท OUARZAZATE (ประมาณ 30 นาที ) ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี้ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร ปัจจุบันเมืองวอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยว และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายในการทํากิจกรรมต่างๆ ที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง CLEO PATTRA, THE MUMMY, KINGDOM OF HEAVEN และอีกมากมายที่มักจะใช้เมืองแห่งนี้เป็นฉากสำหรับถ่ายทำในภาพยนตร์ ทั้งนี้เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แบบชนเผ่าเบอร์เบอร์ ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของชาวโมร๊อกโก วอซาเซท อาจกล่าวได้วาเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และการผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่ สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก (โปรดเตรียมทิปเล็กน้อยให้แก่เจ้าหน้าที่โรงถ่าย /
โรงถ่ายภาพยนต์)
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม KARAM OURZAZATE ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่ห้า ออร์ซาเอท (OUARZAZATE) – เมอร์ซูก้า ( MERZOUGA ) (B/L/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ โอเอซิส TINGHIR ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ หรือ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์
นําท่านเดินทาง สู่ ทอดร้าจอร์จ TODRA GORGES ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยูในโอเอซิส ลําธารที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาที่สูงชันแปลกตา เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย ผ่านหุบเขาดาเดส DADES VALLEY AND GORGE แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกรัดกร่อน จากแรงลมทําให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงาม

ผ่านชมหุบเขากุหลาบ ROSE VALLEY หุบเขาแห่งดอกกุหลาบซึ่งทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตรตามริมฝั่ง เป็นหนึ่งในภูมิประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทางตอนใต้ของโมร็อกโก เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านชมและมีความสวยงามมาก ซึ่งในเดือน เมษายน – พฤษภาคม จะเป็นช่วงเทศกาลโมร็อกโกหุบเขากุหลาบ Rose Valley Morocco Festival การเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวดอกกุหลาบในเมืองเล็ก ๆ ของ Kelaat M’gouna ตั้งอยู่ในหุบเขา Dades ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “หุบเขาแห่งดอกกุหลาบ” ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบผลิบานและพ่นน้ำหอมออกมาผสมกับกลิ่นของต้นอัลมอนด์ ทำให้เป็นสวรรค์น้อยๆของนักเดินทางชาวทะเลทรายมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ INAS WELCOME RESTAURANT (TINGHIR)
นำท่านสู่จุดพักรถ เพื่อเปลี่ยนรถจากรถบัสเป็นรถ 4WD / รถ 1 คันจะนั่งได้ 4 – 5 ท่าน
*** กรุณานำสัมภาระแยกใส่กระเป๋าใบเล็กสำหรับที่พักโรงแรมบริเวณทะเลทราย ที่
กระเป๋าใบใหญ่จะเก็บไว้ที่บัสใหญ่ และกระเป๋าใบเล็กจะย้ายมาที่ท้ายรถ 4WD เพื่อความสะดวก
(ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 20 – 30 นาที เข้าสู่ที่พักบริเวณทะเลทราย )

ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม YASMINA MERZOUGA HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่หก เมอร์ซูก้า ( MERZOUGA ) – เฟส (FES) (B/L/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านขี่อูฐ ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า ให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับภาพพระอาทิตย์ดวงโตๆค่อยๆโผล่ขึ้นจากสันทรายยามเช้า สาดส่องแสงสีทองปลุกทุกชีวิตให้ตื่นจากนิทรา เป็นภาพแห่งความประทับใจ
หลังจากนั้นนำทุกท่านขึ้นรถ 4WD เพื่อกลับออกจากที่พักกลางทะเลทราย กลับขึ้นรถบัสเพื่อเที่ยวในสถานที่ต่อไป
นำท่านเดินทางต่อ สู่เมืองเฟซ (FES) เมืองหลวงเก่าอีกแห่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานใน ศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ (Rif Mountain) ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle Atlas) มีแม่น้ำเฟส (River Fes) ไหลผ่านกลางเมืองเมืองเฟส เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เมืองหนึ่งของศาสนาอิสลามได้รับการขนานามว่า “มักกะฮ์แห่งตะวันตก”และ “เอเธนส์แห่งแอฟริกา”
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ CHEZ WONG RESTAURANT (FES)
นำท่านเดินทางผ่านเมือง อิเฟรน IFRANE หรือที่เรียกว่า สวิตเซอร์แลนด์น้อย เป็นโอเอซิสแห่งความสดชื่นและความเขียวขจีเป็นพื้นที่แห่งธรรมชาติ ความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศของเศรษฐีโมร็อคโคและยุโรป ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เมืองนี้ยังได้ชื่อว่า ‘เจนีวาแห่งโมร็อคโค’ มีทะเลสาบสวยงาม และมีรูปปั้นสิงโตเป็นสัญลักษณ์อยุ่ใจกลางเมืองในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงโตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดจากเทือกเขาแห่งนี้
นำท่านชมเมืองเฟซ (FES) เมืองแห่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งในปี ค.ศ.1981 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของเฟสเป็นเมืองมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ ตอนนี้ทางรัฐบาลโมร๊อกโกมีการดูและเมืองเฟสโดยเฉพาะเขตเมืองเก่าซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและอารยธรรมในยุคเก่าของโมร็อกโก นำท่านชมจุดชมวิวเมื่อมองลงมาจะเห็นเขตเมืองเก่าทั้งเมือง ต่อด้วยชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส พระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสง่างามอย่างมาก เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร๊อกโก จากนั้นนำทุกท่านเข้าสู่เมืองเก่า ซึ่งเสมือนท่านย้อนยุคไปสู่บรรยากาศ1200ปีที่แล้ว เพราะเมืองนี้ยังมีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในลักษณะดั้งเดิมหลายศตวรรษ

ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม VOLUBULIS OR AL MENZEH ZALLAGH FES HOTEL
ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่เจ็ด เฟส (FES) (B/L/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมเมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Madrasa Bou Inania ) เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด Madrasa (โรงเรียนสำหรับการเรียนรู้ที่สูงขึ้นในศาสตร์อิสลาม) ก่อตั้งขึ้นโดย Marinidสุลต่านอาบูอัลฮะซันใน 1335-36 แต่เป็นชื่อในขณะนี้หลังจากลูกชายของเขาอาบู Inan) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่า ท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
แวะชม สถาปัตยกรรมของสุสานมูเลย์ อิสมาอิล (Mausoleum of Moulay Ismail) ซึ่งเป็นรัฐอิมพีเรียลที่คุณจะผ่านระหว่างการเดินทางในโมร็อกโก สุสานของศตวรรษที่ 18 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสถานที่พำนักของสุลต่านที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ เป็นสถานที่ทางจิตวิญญาณและเงียบสงบ เชื่อกันว่าจะนำพรมาสู่ผู้มาเยือน ที่เริ่มด้วยห้องทางเข้าเล็กๆ ที่ทาสีเหลืองบัตเตอร์คัพ ภายในห้องมีน้ำพุขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง จากนั้นจะนำไปสู่สนามหญ้าแบบเปิดโล่งแห่งแรกที่เชื่อมต่อถึงกัน และลานสุดท้ายอยู่หน้าห้องหลุมฝังศพ มุสลิมเข้าได้เฉพาะห้องหลุมฝังศพเท่านั้น ห้องเฉลียงมีความสูงหลายชั้นโดยมีหน้าต่างหลายแถวอยู่ด้านบนซึ่งให้แสงแดดส่องเข้ามาอย่างสวยงาม
แวะชม (KAIRAOUINE MOSQUE) สถาปัตยกรรมและการตกแต่งอันน่าทึ่งที่สามารถพบได้ในทุกซอกทุกมุมของมัสยิด ถือได้ว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก’ มัสยิด Karaouine ในโมร็อกโก (หรือที่เรียกว่ามัสยิด Al-Qarawiyyin) ก่อตั้งขึ้นในปี 859 โดย Fatima Al-Fihri ลูกสาวของ Mohammed Al-Fihri ซึ่งเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยในขณะนั้น ครอบครัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้อพยพที่ตัดสินใจย้ายจาก Kairouan ในตูนิเซียไปยังเมือง Fes ในโมร็อกโกเมื่อต้นศตวรรษที่ 9 ทั้งฟาติมาและน้องสาวของเธอได้รับการศึกษาอย่างดีและได้รับมรดกเงินจำนวนมากจากพ่อของพวกเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิต แทนที่จะใช้ทรัพย์สมบัติในชีวิตประจำวันของเธอเปลือง ฟาติมาให้คำมั่นว่าจะใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อสร้างมัสยิดที่เหมาะสมกับชุมชนที่เธอรัก ด้วยสตรีที่มีการศึกษาดีและมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ในไม่ช้า โครงการนี้จึงเติบโตจากการเป็นเพียงสถานที่สักการะเป็นสถานที่สำหรับการสอนศาสนาและการอภิปรายทางการเมือง ตลอดหลายทศวรรษ ที่ชาวโมร๊อกโกถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับมัสยิดคือมีการขยายไปทั่วราชวงศ์ต่อเนื่องจนสามารถได้รับความแตกต่างจากการเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาเหนือ ปัจจุบันสามารถรองรับผู้สักการะได้มากถึง 20,000 คน
จากนั้นนำท่านเดิน ชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก โรงฟอกหนังของเมืองเฟสจะประกอบไปด้วยอ่างหินจำนวนมากวางเรียงกันเป็นแถว แต่ละบ่อจะเต็มไปด้วยสีย้อมและของเหลวเติมเต็มทั่วทุกบ่อ ราวกับเป็นจานสีที่มีขนาดใหญ่ โดยหนังเหล่านี้ได้มาจากทั้ง วัว แกะ แพะ และอูฐ นำเข้าสู่กระบวนการกลายเป็นเครื่องหนังคุณภาพชั้นสูง เช่นกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า โดยไม่มีการใช้เครื่องจักร นับเป็นภูมิปัญญาที่มีตั้งแต่ยุคกลาง อิสระช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นมากมาย เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง

เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ CHEZ WONG RESTAURANT (FES)
นำท่านเดินทาง สู่เมืองแมกเนส (MEKNES) เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศ.ต. ที่ 17 ด้วยเมืองเมคเนสมีทำเลที่ตั้งโดยมีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมืองแมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ประตูบับมันซู เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสดอย่างสวยงาม

นำท่านแวะชม ประตู (BAB MANSOUR GATE) ประตู Bab Al Mansour ได้รับการตั้งชื่อตาม El-Mansour ซึ่งเป็นคริสเตียน คนทรยศที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ประตูขนาด 16 เมตรได้รับการออกแบบให้เป็นประตูโค้งเกือกม้า และประตูไม้สูง 52 ฟุตตั้งอยู่นอกจตุรัส el-Hedim อันกว้างใหญ่ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งด้วยอักษรอาหรับแปลว่า “ฉันคือประตูที่สวยที่สุดในโมร็อกโก ฉันเหมือนพระจันทร์บนท้องฟ้า
นำท่านแวะชม พระราชวังเฟส (ROYAL PALACE OF FES) เป็นแลนด์มาร์กที่กำหนดจุดสังเกตของเมืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม ตั้งอยู่ในเขตราชวงศ์ที่สร้างขึ้นโดยราชวงศ์ Marinid ในศตวรรษที่ 13 ซีอี อาคารอันโอ่อ่าที่กว้างขวางประกอบด้วยลานขนาดใหญ่ ลานกว้าง และประตูที่วิจิตรงดงาม และการตกแต่งภายในที่แสดงถึงความสง่างามของโมร็อกโก สถานที่นี้ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมแต่สามารถถ่ายภาพภายนอกได้
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม VOLUBULIS OR AL MENZEH ZALLAGH FES HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่แปด เฟส (FES) – เมืองเชฟชาอูน (CHEFCHAOUEN) – ราบัต (RABAT) (B/L/D)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำทุกท่านออกเดินทาง สู่เมืองเชฟชาอูน (CHEFCHAOUEN) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 50 นาที ประมาณ 220 กม.) เป็นเมืองโบราณยาวนานกว่า 538ปีที่ห้ามพลาด เป็นเมืองที่เหมือนเป็นฉากจากหนังภาพยนตร์หรือภาพในนิทาน สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่มีผู้คนใช้ชีวิตกันอยู่จริงในประเทศโมร๊อกโก เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองนี้คือความแปลกตาของอาคารบ้านเรือนที่มีสีสันสดใสทาสีเป็นสีฟ้าและขาวทั้งเมือง ซึ่งตัดกับสีเขียวของป่าไม้เนื่องจากตัวเมืองอยู่ในหุบเขาริฟ
(RIF MOUNTAIN) เกิดเป็นภาพที่ชวนให้นักท่องเที่ยวหลงใหลในความงดงามและเสน่ห์ของเมืองนี้ ความเป็นมิตรของผู้คนก็ทำให้เมืองเชฟชาอูนมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทุกท่านสามารถเดินชมบ้านเรือนได้ทั่วทั้งเมือง โดยที่สถาปัตยกรรมของเมืองยังคงเป็นแบบโมร๊อกโก ซุ้มประตูโค้งสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง และยังมีน้ำพุที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสกแบบโมร๊อกโกให้เห็นได้ตามมุมต่าง ๆ ของเมือง

อิสระให้ทุกท่านได้เดินชมถ่ายรูปหมู่บ้านสีฟ้า เพราะไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็สวยไม่แพ้กัน สำรวจตรอกซอกซอยต่างๆที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก, เครื่องประดับ, พรม และเลือกชิมขนมพื้นเมือง ถั่ว ชีส กลับไปเป็นของฝากได้อย่างเพลิดเพลิน
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ SKY CHINESE RESTAURANT (CHEFCHAOUEN)
นำทุกท่านออกเดินทาง สู่เมืองราบัต (RABAT) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ประมาณ 253 กม.)
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมือง RABAT ซึ่งเป็นเมืองหลวงเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาในอดีต ตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
 นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม RIVE OR ONOMO RABAT HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า

วันที่เก้า ราบัต (RABAT) – คาซาบลังกา (CASABLANCA AIRPOR (B/L/-)
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่าน ชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ด ที่ 5 (Mausoleum of Mohammad V) สุสานตั้งอยู่บนแท่นยกสูงที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเอสพลานาด เป็นโครงสร้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กหุ้มด้วยหินอ่อนสีขาวด้านนอก ภายนอกถูกทำเครื่องหมายด้วยทุกแห่งของซุ้มมัวร์และหลังคาสีเขียวเสี้ยม ซุ้มโค้งยังมีรูปทรงหลายแฉกและพื้นผิวผนังด้านบนนั้นแกะสลักด้วยลวดลายเซ็บก้าแบบโมร็อกโกที่มีลักษณะเฉพาะข้างในห้องเก็บศพที่ถูกปกคลุมด้วยโดมไม้มะฮอกกานีที่มีกระจกสี ในขณะที่ผนังปูด้วยกระเบื้อง โดยมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183×139 เมตร

นำท่านชมหอคอยฮัสสัน ) หรือ สุเหร่าหลวง เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมอันทะเยอทะยาน ของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 โดยหอคอยมีสูงถึง 44 ม. (140 ฟุต) ก่อสร้างมัสยิดเริ่มขึ้นในปี ค. ศ. 1191 ตั้งใจว่าหอคอยแห่งนี้จะกลายเป็นมัสยิดและสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลก และเพื่อเฉลิมฉลองการรบชนะของอัลมันซูร์ แต่ทว่าเมื่ออัลมันซูร์เสียชีวิตในปี 1199 การก่อสร้างมัสยิดก็หยุดลง
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ MARINA RESTAURANT
นำท่านเดินทาง สู่เมืองคาซาบลังกา (CMN) เพื่อเดินทางเข้าสู่สนามบิน RAK มุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (คาซาบลังกา) ประเทศโมร็อคโค เพื่อทำการเช็คอินสัมภาระ
14.45 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ(DXB) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES
เที่ยวบินที่ EK752
วันที่สิบ ดูไบ (DXB) – สนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) (-/-/-)
01.15 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง
( การต่อเครื่องที่ DXB ดูไบ ระยะเวลาการเชื่อมต่อ : 2 ชั่วโมง 30 นาที )
03.45 น.  ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดูไบ DXB สู่ สนามบินสุวรรณภูมิ BKK ประเทศไทย
โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK376
13.20 น. เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ BKK ประเทศไทย ด้วยความสวัสดิภาพและความประทับใจ มิรู้ลืมเลือน

ทัวร์โมรอคโค