แบนเนอร์บทความ

ทวีปยุโรป /

เที่ยวยุโรป 8 วัน 3 ประเทศ ไปได้จริงด้วยงบ 40,000 กว่าบาท

เที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง ในงบ 40,000 กว่าบาท ไปได้จริง 8 วัน 3 ประเทศ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี เมื่อพูดถึงการเดินทางไปทวีปยุโรป หลายคนอาจถอดใจเพราะรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม แต่ความเป็นจริงการเดินทางไปเที่ยวยุโรปไม่ได้ยากหรือแพงขนาดนั้น ยิ่งสมัยนี้ค่าตั๋วเครื่องบินถูกขึ้น การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในฝันก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย ซึ่งวันนี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินทางไปเยือน 3 ประเทศ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ผ่าน 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ อัมสเตอร์ดัม ปารีส มิลาน ภายใต้งบประมาณจำกัดเป็นเวลา 8 วัน (ไม่รวมวันเดินทางไป-กลับ) ซึ่งขอบอกไว้ก่อนว่าทริปนี้ไม่ลำบาก ไม่มีการอดอาหาร และทำตามได้จริงแน่นอน ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่จะกำหนดว่าทริปนั้นถูกหรือแพง คือค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พัก หากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายสองก้อนนี้ได้ รับรองว่าทริปในฝันของคุณอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ในทริปนี้ผมใช้งบประมาณ 46,000 บาท (ไม่รวมค่าช้อปปิ้งและของฝาก) ภายใต้เงื่อนไข 2 ข้อ ได้แก่ การซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ Multi-City ซึ่งมีราคาถูกกว่า และการเลือกที่พักแบบโฮสเทลซึ่งมีราคาย่อมเยา แต่ก่อนจะไปถึงการแจกแจงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาชมกันก่อนว่าแต่ละเมืองมีไฮไลท์อะไรน่าเที่ยวบ้าง ❤️ อัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ เอกลักษณ์ของอัมสเตอร์ดัมคือคลองสายต่าง ๆ และจักรยานที่เป็นพาหนะอันดับ 1 ของคนที่นี่ หากคุณมาเยือนอัมสเตอร์ดัมแล้วอยากสัมผัสไลฟ์สไตล์แบบคนท้องถิ่น คุณสามารถเช่าจักรยานได้ในราคาประมาณ 10 ยูโร/วัน ส่วนใครที่อยากการสำรวจเมืองอย่างใกล้ชิด การเดินลัดเลาะไปตามคูคลองต่าง ๆ ก็เป็นการสัมผัสเมืองแบบชิล ๆ ที่ขอแนะนำ แม้ขนาดเล็ก ๆ ของอัมสเตอร์ดัมจะเหมาะกับการเดินหรือขี่จักรยาน แต่ระบบขนส่งมวลชนของที่นี่ก็เข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่เป็นไฮไลท์ ในทริปนี้ผมซื้อบัตร GVB multi-day ticket ซึ่งครอบคลุมการเดินทางด้วยรถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถรางแบบไม่จำกัด (ไม่รวมรถไฟระหว่างเมือง) มีให้เลือกแบบ 24, 48 ไปจนถึง 168 ชั่วโมง โดยสามารถเข้าไปสำรวจได้ที่เว็บไซต์ของ GVB Red Light District สถานที่เปิดหูเปิดตาสำหรับนักเดินทางโลกสวย ตั้งอยู่ใจกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมและไม่ไกลจากสถานี Amsterdam Central

ทัวร์ฮ่องกง /

สุดยอด 12 ที่เที่ยวมงคลในฮ่องกง ตามปีนักษัตร

เที่ยวฮ่องกง ตระเวนเที่ยว 12 สถานที่มงคลในฮ่องกง ที่ปรมาจารย์ด้านศาสตร์ฮวงจุ้ยแนะนำมาแล้วว่าจะช่วยส่งเสริมดวงชะตาให้รุ่งโรจน์ร่ำรวย ฤดูใบไม้ผลิคือช่วงเวลาแห่งการฟื้นคืนพลังความสดใส เทศกาลตรุษจีนซึ่งเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่ของจีนก็เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายต่อชาวฮ่องกงเป็นอย่างมาก เพราะการเริ่มต้นที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ดังนั้นนอกจากจะไปดื่มด่ำเพลิดเพลินในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ รับปีใหม่แล้ว สิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนฮ่องกงในปีนี้ก็คือการท่องเที่ยวสถานที่มงคลต่าง ๆ เพื่อเปิดรับโชคลาภ เฮง ๆ ต้อนรับปีใหม่ตามธรรมเนียมของคนท้องถิ่น และเพื่อการเริ่มต้นปีระกา 2560 และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบ 20 ปี ของการส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่จีนแผ่นดินใหญ่ เราขอชวนคุณไปเที่ยว 12 สุดยอดสถานที่มงคลในฮ่องกง ที่ปรมาจารย์ด้านศาสตร์ฮวงจุ้ยแนะนำมาแล้วว่าจะช่วยส่งเสริมดวงชะตาให้รุ่งโรจน์ร่ำรวยกันทั้งปี 1. สถานที่เสริมดวงสำหรับคนปีระกา : เดอะพีค ผู้ที่เกิดในปี : 2476, 2488, 2500, 2512, 2524, 2536, 2548 เมื่อปีที่คุณเกิดเวียนมาตรงกับปีนักษัตรปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะตามหลักแล้วคุณจะได้รับอิทธิพลกดทับจากปีนักษัตรที่เวียนมาครบรอบในปีนั้น ๆ แนะนำให้คนเกิดปีระกาขึ้นไปรับพลังฮวงจุ้ยยังจุดที่สูงที่สุดของเกาะฮ่องกง เพื่อลดความแรงจากอิทธิพลของดวงดาวที่แผ่ปกคลุมดวงชะตาของคุณ พร้อมดื่มด่ำกับทิวทัศน์สุดงดงามตระการตาของมหานครฮ่องกงจากวิคตอเรีย พีค ที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพในมุมกว้างที่ทอดยาวสุดขอบฟ้าจากฝั่งเกาลูนไปจนถึงเกาะฮ่องกง ผ่อนคลายอารมณ์และปล่อยวางความกังวล เพื่อพร้อมลุยทุกอุปสรรคท้าทายที่จะเข้ามาในปีนี้ 2. สถานที่เสริมดวงสำหรับคนปีจอ : เส้นทางมรดกวัฒนธรรม หล่งหยกเถ่า ย่าน Fanling ผู้ที่เกิดในปี : 2477, 2489, 2501, 2513, 2525, 2537, 2549 ผู้ที่เกิดในปีจอมีสิทธิได้รับอิทธิพลจากดวงดาวที่ไม่เป็นใจในปีนี้ ทำให้คุณรู้สึกหวาดระแวงและเป็นกังวล ดังนั้นเพื่อลดความแรงของอิทธิพลจากพลังด้านลบ ให้แวะไปเที่ยวที่ชุมชนท้องถิ่นบนเส้นทางมรดกวัฒนธรรม หล่งหยกเถ่า ซึ่งจะพาคุณเดินทางย้อนไปสู่ประวัติศาสตร์ของชนเผ่าถัง หนึ่งในห้าชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งนิวเทอริทอรีส์ ที่กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้พบเห็นมังกรกำลังกระโจนในภูเขาแห่งนี้ ทำให้กลายเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้ด้วย คุณจะได้สัมผัสภูมิปัญญาของบรรพบุรุษชาวฮ่องกงที่มีความโดดเด่น และถ่ายทอดออกมาเป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามแปลกตา พร้อมชมบรรยากาศอันสงบร่มเย็นโดยรอบ การได้มาเยือนชุมชนแห่งนี้จะช่วยเสริมโชคลาภด้านการงานแก่ผู้ที่เกิดปีจอตลอดทั้งปี 3. สถานที่เสริมดวงสำหรับคนปีกุน : พระใหญ่, ทางเดินแห่งปรัชญา ผู้ที่เกิดในปี : 2478, 2490, 2502, 2514, 2526, 2538, 2550 อิทธิพลของดวงดาวยี่หม่าอันเป็นตัวแทนของการเดินทาง จะส่งผลต่อจักรราศีของคุณในปี 2560 ชาวปีกุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แนะนำให้คุณไปกราบนมัสการพระใหญ่และแวะเยือนทางเดินแห่งปรัชญา เพื่อพิจารณาปรัชญาบนเสาไม้ที่จารึกบทกวีจากพระสูตรตามลายมืออันวิจิตรของปรมาจารย์ร่วมสมัยผู้โด่งดัง ซึ่งจะช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตคุณอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังช่วยเสริมพลังความก้าวหน้าให้คุณได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งปี 4. สถานที่เสริมดวงสำหรับคนปีชวด : ตลาดดอกไม้ สวนนก ผู้ที่เกิดในปี : 2479, 2491, 2503, 2515, 2527,

ทัวร์เกาหลี /

เรื่องน่ารู้เกาะนามิ เกาหลีใต้ เที่ยวด้วยตัวเองได้ ประทับใจเหมือนกัน

  รวบรวมเรื่องราวดี ๆ ที่น่าสนใจของเกาะนามิ เพื่อประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะไปเที่ยวเกาะนามิด้วยตัวเอง มีวิธีการเดินทางหลายแบบ ไปแบบเช้าไป-เย็นกลับได้จากกรุงโซล   เกาะนามิ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวสุดฮอตของประเทศเกาหลีใต้ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักท่องเที่ยวที่หลงใหลในธรรมชาติจึงอยากที่จะไปเยี่ยมเยือนที่นี่กันสักครั้ง ซึ่งจากกรุงโซลก็เดินทางไปเที่ยวเกาะนามิได้ไม่ยากเลยค่ะ ไปเที่ยวเองก็ได้ มีหลากหลายวิธีการเดินทาง วันนี้เราจึงได้รวบรวมเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับเกาะนามิมาฝากกัน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ เกาะนามิ - เกาะนามิ (Namiseom Island) ตั้งอยู่ที่เมืองชุนช็อน (Chuncheon-si) จังหวัดคังว็อน (Gangwon-do) ทางตอนเหนือของประเทศเกาหลีใต้ มีลักษณะเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางแม่น้ำฮัน (Han River) รูปร่างคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนช็องพย็อง (Cheongpyeong DamX) - เกาะนามิโด่งดังขึ้นจากซีรี่ย์เรื่อง Winter Sonata โดยใช้เกาะนามิเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากโรแมนติก ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คู่รักนิยมมาเที่ยวกันตลอดทั้งปี และห้ามพลาดที่จะถ่ายภาพคู่กับรูปปั้นพระ-นางจากซีรีย์เรื่องดังกล่าว เกาะนามิ ภาพจาก Guitar photographer / Shutterstock.com - เกาะนามิ มีพื้นที่ทั้งหมดราว ๆ 553,560 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบ มีต้นเกาลัด ต้นแป๊ะก๊วย ต้นสนและอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งลานสนามหญ้ากว้างใหญ่ บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ และนอนพักกางเต็นท์ - เกาะนามิ อยู่ห่างจากกรุงโซล (Seoul) ประมาณ 63 กิโลเมตร ถ้าขับรถไปเที่ยวจากโซลก็จะใช้เวลาเดินทางงเพียงแค่ราว ๆ 1-1.30 ชั่วโมงเท่านั้น และพื้นที่บนเกาะนามิก็ไม่ใหญ่มาก สามารถเที่ยวได้แบบเช้าไป-เย็นกลับ ชาวเกาหลีจึงนิยมที่จะมาเที่ยวที่นี่ในช่วงวันหยุด เกาะนามิ ภาพจาก UKRID / Shutterstock.com - เกาะนามิมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ถูกค้นพบโดย Minn Byeong Do ที่นี่เป็นที่ตั้งหลุมฝังศพของนายพลนามิ (General Nami) นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ผู้ที่สามารถนำทัพกวาดล้างจราจลในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ - ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2010 เกาะนามิได้รับเลือกเป็น UNICEF Child Friendly Park ซึ่งเป็นสถานที่แรกของเกาหลีใต้ที่ได้รับเลือก และยังเป็น 1 ใน 14

ทัวร์ฮ่องกง /

ที่เที่ยวฮ่องกงสุดฮิต ทริปเที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเองไม่ควรพลาด

ที่เที่ยวฮ่องกง รวมมิตรที่เที่ยวฮิตของฮ่องกง ที่ใครไปเที่ยวฮ่องกงจะต้องไปเก็บให้ครบ เหมาะกับการวางแผนเที่ยวฮ่องกงด้วยตนเอง จะมีที่เที่ยวฮ่องกงที่ไหนห้ามพลาดบ้าง ไปดูกัน ฮ่องกง สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตลอดกาล มีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลกต้องการมาสัมผัสที่นี่กันสักครั้ง ซึ่งก็เหมือนความโชคดีของคนไทยที่ฮ่องกงอยู่ไม่ไกลเท่าไร มีหลายสายการบินให้บริการเส้นทางบินตรง และยังจัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำกันอยู่เรื่อย ๆ และสำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวฮ่องกง วันนี้เราได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวฮ่องกงห้ามพลาดมาไว้ให้ที่นี่แล้วค่ะ จะมีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย   new data conntent เกาะลันเตา           - นั่งกระเช้านองปิง ไหว้พระใหญ่ วัดโปลิน (หยุดให้บริการระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2560)   การนั่งกระเช้านองปิง เพื่อขึ้นไปไหว้พระใหญ่ ที่วัดโปลิน ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของฮ่องกง นักท่องเที่ยวจะได้นั่งกระเช้าเพื่อชมวิวอันสวยงามทั้งป่าเขา และอ่าวกว้างใหญ่ ก่อนจะไปถึงยังบริเวณวัดโปลิน โดยใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที กระเช้ามีให้เลือกทั้งแบบธรรมดาและแบบพื้นกระจกใส ใครชอบแบบไหนก็จัดกันไปเลยค่ะ เมื่อกระเช้าไปถึงบริเวณหมู่บ้านนองปิง นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ก่อนที่จะไปถึงด้านหน้าวัดโปลิน แล้วจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 268 ขั้น เพื่อขึ้นไปไหว้สักการะพระใหญ่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ np360.com.hk (กระเช้านองปิงหยุดให้บริการระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2560)   - ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ภาพจาก psgxxx / shutterstock.com สาวกดิสนีย์ต้องไม่พลาดที่จะไปเที่ยวชมอาณาจักรแห่งเวทมนตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยาย พร้อมสนุกสนานไปกับเครื่องเล่นและความบันเทิงมากมาย อีกทั้งที่นี่ยังเพียบพร้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า และที่พัก มาที่เดียว เที่ยวได้แบบครบรส ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ hongkongdisneyland.com   - ซิตี้เกต เอาท์เลท ภาพจาก Hatchapong Palurtchaivong / shutterstock.com ถ้าใครอยากช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมในราคาย่อมเยา ต้องไม่พลาดไปเดินช้อปปิ้งกันที่นี่ค่ะ มีหลากหลายแบรนด์ชั้นนำให้เลือกซื้ออย่างจุใจ บางแบรนด์ยังลดกระหน่ำ หยิบจับกันไม่ทันเลยทีเดียว ถ้าใครมาแวะซื้อของฝากก่อนกลับไปสนามบิน ก็มีซูเปอร์มาร์เกตอยู่ชั้นใต้ดิน ให้เลือกซื้อขนมและของฝากอื่น ๆ ด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ citygateoutlets.com   เกาะเกาลูน - A Symphony of Lights A Symphony of Lights เป็นการแสดงแสง สี เสียง สุดอลังการของฮ่องกง ที่จะทำให้ตึกและอาคารสูงใหญ่บนเกาะฮ่องกง บริเวณริมอ่าววิคตอเรียมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความอลังการของแสงไฟยามค่ำคืน การแสดงจะมีให้ชมทุกวัน ในเวลา 20.00 น. มีรอบภาษาอังกฤษทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ การแสดงจะใช้เวลาประมาณ 13 นาที จุดที่สามารถชม A Symphony of Lights ได้จะอยู่ทางฝั่งเกาะเกาลูน ไล่มาตั้งแต่บริเวณอเวนิว ออฟ สตาร์ ไปจนถึงบริเวณหอนาฬิกา แต่จุดที่สามารถมองเห็นการแสดงได้สวยงาม จะอยู่ด้านบนจุดชมวิวบริเวณด้านหน้าหอนาฬิกา ต้องรีบไปจับจองที่นั่งสักนิด หรือถ้าใครอยากนั่งล่องเรือชมในอ่าววิคตอเรียก็ได้เช่นกัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ discoverhongkong.com - หอนาฬิกา ภาพจาก Sean Pavone / shutterstock.com หอนาฬิกา เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ต้องไปเช็กอินกันให้ได้

ทวีปยุโรป /

การเตรียมตัวไปดูแสงเหนือเบื้องต้น กับ 10 เรื่องน่ารู้ก่อนวางแผนเดินทาง

บริษัททัวร์คุณภาพ เหนือด้วยราคา และคุณภาพ   การเตรียมตัวไปดูแสงเหนือ ใครที่ใฝ่ฝันอยากไปเห็นเแสงเหนือสักครั้งในชีวิต มาดูข้อมูลการตรียมตัวไปดูแสงเหนือเบื้องต้นได้เลยที่นี่ แสงเหนือดูได้ที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไร ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ไปดูกัน เชื่อเถอะว่า "แสงเหนือ" เป็นปรากฏการณ์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากมีโอกาสได้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต และมันก็เป็นไปได้ ถ้าคุณวางแผนอย่างดี และมี "ดวง" หลังจากที่เราเคยนำเสนอ 7 ประเทศตามล่าแสงเหนือ วันนี้เราจึงได้รวบรวมวิธีการเตรียมตัวและข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการไปเที่ยวชมแสงเหนือมาฝากกัน จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกัน new data conntent จะไปดูแสงเหนือได้ที่ไหน ปรากฏการณ์แสงเหนือ หรือ Aurora Borealis สามารถเห็นได้ในหลายประเทศที่อยู่ในโซนติดกับขั้วโลกเหนือ อาทิ ประเทศไอซ์แลนด์, ประเทศสวีเดน, เกาะกรีนแลนด์ ประเทศเดนมาร์ก, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศรัสเซีย, รัฐอะแลสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศแคนาดา, ประเทศนอร์เวย์, ประเทศสกอตแลนด์ เป็นต้น เลือกไปเที่ยวชมแสงเหนือที่ไหนดี ปรากฏการณ์แสงเหนือ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นคงการันตีฟันธงไม่ได้ว่าไปเที่ยวที่ไหนแล้วจะได้เห็นแน่ ๆ เพราะฉะนั้นคงต้องมาคำนวณกันที่บรรยากาศของสถานที่รับชม และค่าใช้จ่าย ซึ่งโดยส่วนมากแล้วถ้าเลือกที่จะได้เห็นแสงเหนือ พร้อม ๆ กับวิวสุดอลังการของธรรมชาติ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกไปที่ประเทศไอซ์แลนด์ แต่ถ้าเลือกที่งบประมาณ ประเทศรัสเซียจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะคนไทยไม่ต้องเสียเงินทำวีซ่า และค่าครองชีพยังถูกกว่าประเทศในโซนแถบประเทศในกลุ่มนอร์ดิกอีกด้วย 10 จุดชมแสงเหนือ - ประเทศไอซ์แลนด์ >> ชมได้ทั้งเกาะ แต่จุดที่นักท่องเที่ยวมักไปเฝ้ารอจะอยู่บริเวณ Kirkjufell Mountain - ประเทศฟินแลนด์ >> ภูมิภาค Lapland - ประเทศแคนาดา >> เมืองเยลโลว์ ไนฟ์ (Yellowknife) - กรีนแลนด์ ประเทศเดนมาร์ก >> เขต Kangerlussuaq - ประเทศรัสเซีย >> เมือง Murmansk - ประเทศนอร์เวย์ >> เมือง Tromso - รัฐอะแลสกา ประเทศอเมริกา >> เมือง Fairbanks - ประเทศสวีเดน >> Kiruna, Abisko - ประเทศเดนมาร์ก >> Faroe Islands - ประเทศสกอตแลนด์ >> Isle of Skye, Aberdeen

ทัวร์ญี่ปุ่น /

ตามรอยแฟนเดย์ กับ 10 ที่เที่ยวฮอกไกโดสุดโรแมนติก

บริษัททัวร์คุณภาพ เหนือด้วยราคา และคุณภาพ ข่าวสารอัพเดท   ภาพจาก เฟซบุ๊ก แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว           เที่ยวฮอกไกโด ญี่ปุ่น ตามรอยภาพยนตร์แฟนเดย์ ไปสัมผัส 10 ที่เที่ยวฮอกไกโด บรรยากาศสุดโรแมนติก สวยงามราวกับดินแดนในฝัน หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องแฟนเดย์ ได้ออกฉายสู่แฟนหนังชาวไทยแล้ว ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นทั้งนักแสดง เนื้อเรื่อง เพลงประกอบภาพยนตร์ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สถานที่ถ่ายทำ ที่ทำให้คนดูประทับใจมาก ๆ ซึ่งไม่เสียแรงเลยที่ทีมงานยกกองถ่ายไปถ่ายกันไกลถึงเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น วันนี้เราจึงจะพาไปตามรอยภาพยนตร์เรื่องนี้กันค่ะ พาไปดูสถานที่ถ่ายทำสวย ๆ บรรยากาศสุดโรแมนติก จะมีที่ไหนบ้าง ไปเก็บข้อมูลกันเลย 1. คลองโอตารุ (Otaru Canal) เมืองโอตารุ เมืองโอตารุ เป็นเมืองท่าเล็ก ๆ ของกิ่งจังหวัดชิริเบะชิ (Shiribeshi Subprefecture) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของซัปโปโร (Sapporo) บนเกาะฮอกไกโด เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยมีบรรยากาศที่สวยงาม เงียบสงบ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเมืองเก่าแก่ ซึ่งแลนด์มาร์กอันโดดเด่นของเมืองนี้ ก็คือ คลองโอตารุ (Otaru Canal) เป็นลำคลองเล็ก ๆ มีตึกโกดังเก่าแก่ตั้งเรียงรายอยู่ริมคลองด้านหนึ่งอย่างสวยงาม ส่วนอีกฝั่งทำเป็นทางเดินริมน้ำ มีเสาไฟสไตล์ยุโรปเรียงรายไปตลอดแนวคลอง ทำให้บรรยากาศยามเย็นของที่นี่งดงามสุด ๆ เพราะแสงไฟจะส่องแสงลงคลองระยิบระยับ มองออกไปทางด้านหนึ่งจะเห็นภูเขาลูกใหญ่เป็นฉากหลังอย่างสวยงาม สามารถนั่งเรือชมคลองได้ด้วย แล้วอย่างนี้จะบอกว่าที่นี่ไม่โรแมนติกได้ยังไง พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Emporium/Otaru Music Box Museum) เมืองโอตารุ ภาพจาก NorGal / shutterstock.com      พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสุดคลาสสิกที่ห้ามพลาดของเมืองโอตารุ เพราะที่นี่จะมีการรวบรวมกล่องดนตรีหลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์ไว้มากกว่า 1,000 ชิ้น และที่บอกว่าที่นี่มีความคลาสสิกก็เพราะว่าตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่สไตล์ยุโรป สร้างขึ้นจากอิฐแดง ส่วนด้านในจะเห็นเป็นโครงสร้างไม้ มีการวางเรียงกล่องดนตรีต่าง ๆ ไว้อย่างสวยงาม ซึ่งก็จะมีลวดลายที่แตกต่างกันไป ราคาก็มีทั้งสูงและต่ำ แต่รับรองได้ว่าสวยทุกชิ้น สามารถซื้อกลับมาเป็นของที่ระลึกหรือของฝากได้ นอกจากนี้ยังมีให้นักท่องเที่ยวทำกล่องดนตรีของตัวเองได้อีกด้วย นาฬิกาไอน้ำโบราณ (Steam Clock) เมืองโอตารุ ภาพจาก Javen / shutterstock.com    นาฬิกาไอน้ำโบราณ (Steam Clock) แห่งเมืองโอตารุ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของเมืองโอตารุ ตั้งอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี เป็นนาฬิกาไอน้ำเก่าแก่ที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา มอบให้แก่เมืองโอตารุ ความโดดเด่นของเจ้านาฬิกาเรือนนี้ นอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามในสไตล์อังกฤษแล้ว ยังคอยจะส่งเสียงเพลงและพ่นไอน้ำออกมาในทุก ๆ 15 นาทีอีกด้วย คิโรโระ สกี

ทัวร์ญี่ปุ่น /

มาแล้ว หิมะแรกแห่งปี 2016 บนภูเขาไฟฟูจิ ญี่ปุ่น

บริษัททัวร์คุณภาพ เหนือด้วยราคา และคุณภาพ ข่าวสารอัพเดท   มาแล้ว ! หิมะแรกของภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมตัววางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น หน้าหนาวกันได้เลย ไปชมภูเขาไฟฟูจิ ที่เที่ยวญี่ปุ่นสวยตระการตา ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว และมีวิวธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ บอกเลยหนาวนี้ไม่ควรพลาด สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวนี้ เตรียมร้องเฮดัง ๆ เลยค่ะ เพราะเว็บไซต์ asahi.com ได้เปิดเผยว่าตอนนี้บนยอดภูเขาไฟฟูจิเริ่มมีหิมะแรกโปรยปรายลงมาแล้ว สร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากเห็นภูเขาไฟฟูจิปกคลุมไปด้วยหิมะมากเลยทีเดียว ใกล้เข้ามาแล้วจริง ๆ สำหรับฤดูกาลหน้าหนาวของญี่ปุ่น เพราะเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2559 เริ่มมีหิมะแรกโปรยปรายลงมาที่ภูเขาไฟฟูจิแล้ว ซึ่งหิมะแรกบนภูเขาไฟฟูจิในปีนี้ถือว่ามาเร็วกว่าเมื่อปีที่แล้วถึง 16 วัน โดยหิมะที่ตกลงมาในวันแรกนั้นยังไม่หนามากนัก ยังไม่สามารถเห็นได้จากระยะไกล ต้องมองในมุมสูงและใกล้กับยอดภูเขาไฟฟูจิ จึงจะเห็นว่ามีหิมะสีขาวโพลนเริ่มปกคลุมพื้นที่บริเวณบนยอดเขา ซึ่งหลังจากนี้ไปจนถึงต้นฤดูร้อนของญี่ปุ่น ถ้านักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมภูเขาไฟฟูจิ ก็จะได้เห็นภาพของยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาวสุดอลังการ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นภูเขารูปทรงกรวยคว่ำ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ในเขตจังหวัดยะมะนะชิ (Yamanashin) และชิซุโอะกะ (Shizuoka) มีความสูงมากถึง 3,776 เมตร  จึงดูโดดเด่นและสง่างาม เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่นักปีนเขาอยากจะได้สัมผัส   นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมความงดงามของภูเขาไฟฟูจิจากบริเวณโดยรอบแล้ว ก็ยังสามารถที่จะเข้าไปสัมผัสกับภูเขาไฟฟูจิได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย โดยในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ทางการญี่ปุ่นจะเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้ โดยการปีนภูเขาไฟฟูจิจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวจะปีนขึ้นไปจนถึงระดับไหน เพราะที่นี่มีให้ปีนได้มากถึง 10 ระดับ   ภาพจาก KP Photograph / shutterstock.com สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการเห็นมากที่สุดบนยอดภูเขาไฟฟูจิก็คือ ภาพของพระอาทิตย์ขึ้น ชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า โกไรโค โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุดก็คือ ระหว่างเวลา 04.30-05.30 น. ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าใครสามารถขึ้นไปถึงยังยอดเขาไฟฟูจิแล้ว ก็จะได้รับเกียรติบัตรจาก Yamanashi Prefecture Tourist Association อีกด้วย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปีนเขาไฟฟูจิได้ที่ jnto.or.th (ภาษาไทย), fujisan-climb.jp (ภาษาอังกฤษ) และ jnto.go.jp(ภาษาอังกฤษ)           เอาเป็นว่าถ้าใครมีตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นอยู่ในมือแล้ว ก็จับไว้ให้แน่น ๆ แล้วเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อไปยลโฉมฟูจิในรูปแบบที่เต็มไปด้วยหิมะสวยงามอลังการ ส่วนใครยังไม่มีตั๋ว ก็วางแผนให้ดี ๆ ค่ะ ว่าจะไปเที่ยวเลยปีนี้ หรือรอปีหน้า แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์แล้ว ก็อย่ารอเวลาเลยค่ะ เพราะเวลาก็จะไม่รอเราเหมือนกัน :) ขอขอบคุณข้อมูลจาก : asahi.com, jnto.or.th, fujisan-climb.jp, jnto.go.jp

ทัวร์เขมร /

สุดยอดปราสาทพลาดไม่ได้

เมืองพระนคร... นครวัด...นครธม สามชื่อที่ผู้คนอาจสับสนว่าหมายถึง ปราสาทไหนกันแน่ .....นครวัด หรืออังกอร์วัด หมายถึง ปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 มีบารายหรือคูน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ครองพื้นที่มากกว่า 1 กิโลเมตร .....นครธม หรืออังกอร์ธม แปลว่า เมืองใหญ่หรือเมืองหลวง เป็นอาณาบริเวณที่อยู่ทางเหนือของนครวัด มีกำแพงและบารายล้อมรอบทั้งสี่ด้าน กำแพงทุกด้านมีซุ้มประตูเข้าเมือง ซึ่งมีปรางค์รูปใบหน้าอยู่เหนือประตู ภายในอาณาเขตกำแพงมีปราสาทน้อยใหญ่หลายหลัง โดยมีปราสาทบายอนเป็นศูนย์กลาง .....ส่วนคำว่า เมืองพระนคร หรือเมืองพระนครหลวง หมายถึง เมืองหลวงของอาณาจักรเขมรโบราณ ซึ่งมีทั้งหมดสี่เมืองซ้อนกันอยู่ในบริเวณนี้ตามลำดับการสร้างอาณาจักรคือ .....- เมืองพระนครหลวงแห่งแรกมีศูนย์กลางอยู่บริเวณพนมบาแค็ง เรียกว่า "ยโศธรปุระ" .....- เมืองพระนครหลวงแห่งที่ 2 อยู่บริเวณปราสาทแม่บุญตะวันออก มีศูนย์กลางคือ ปราสาทแปรรูป .....- เมืองพระนครหลวงแห่งที่ 3 เชื่อว่า อยู่แถวปราสาทบาปวน .....- สุดท้ายย้ายมาสร้างนครธม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทบายอน นับเป็นเมืองสุดท้าย .....ดังนั้น "เมืองพระนคร" ในปัจจุบันจึงหมายถึงปราสาทน้อยใหญ่ทุกปราสาท ที่อยู่ในอาณาบริเวณตั้งแต่บารายตะวันตกถึงบารายตะวันออก และเหนือปราสาทพระขรรค์ลงมาจนถึงแนวป่าด้านใต้ของนครวัด ซึ่งก็คือ "อุทยานประวัติศาสตร์เมืองพระนคร" (Angkor Archaeological Park) ที่ได้รับเลือกเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2535 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 16 ที่เมือง ซานตาเฟ สหรัฐอเมริกา เป็นมรดกโลกลำดับที่ 668 .....สุดยอดปราสาทพลาดไม่ได้ที่นักท่องเที่ยวต้องชมเป็นลำดับแรก เมื่อเดินทางมาถึงเมืองพระนครแล้ว ได้แก่ ปราสาทนครวัด , ปราสาทบายอน, ปราสาทบันทายสรี

ทัวร์เขมร /

ปราสาทนครวัด

รูปแบบศิลปะ : นครวัด ปีที่สร้าง : พ.ศ. 1656 สมัย : พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ช่วงเวลาควรไป : ก่อน 6 โมงเช้า เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นหลังหมู่ปราสาท และหลังบ่าย 3 โมง ที่ตั้ง : ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบ 4 กิโลเมตร .....หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งสร้างขึ้นในครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 17 เพื่ออุทิศถวาย แด่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เทพเจาสูงสุดแห่งลัทธิไวษณพนิกาย ปรากฏชื่อปราสาทในจารึกว่า "พระพิษณุโลกหรือวิษณุโลก" ส่วนชื่อ นครวัดเป็นชื่อที่เรียกกันภายหลัง นครวัดเป็นปราสาทแห่งเดียวในเมืองพระนครที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก บรรดาทัวร์นครวัดทั้งหลายจึงมักพาไปชมนครวัดในเวลาบ่าย เพื่อให้แสงจากทิศตะวันตกส่องกระทบด้านหน้าปราสาทเต็มที่ เป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูป มหาปราสาทนครวัด มองจากทิศตะวันตก .....การนำชมนี้จะแบ่งบริเวณที่น่าสนใจเป็นห้าจุด ได้แก่ .....- บริเวณโคปุระกลางที่กำแพงชั้นนอก .....- ระเบียงคดชั้นแรก : ชมภาพแกะสลักยาวที่สุดในโลก .....- มุขกระสัน เชื่อมระเบียงคดชั้นแรกและชั้นที่ 2 .....- ระเบียงคดชั้นที่ 2 : ชมนางอัปสรา .....- ระเบียงคดชั้นที่ 3 : สู่ที่ประทับของเทพ .....นครวัดมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างราว 1,300 เมตร และ ยาวราว 1,500 เมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดถึง 1.9 ล้านตารางเมตร มีบารายหรือคูน้ำขนาดกว้าง 190 เมตร ยาวด้านละ 1,900 เมตร ล้อมรอบ ทั้งสี่ด้าน ทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทางเข้าด้านหน้ามีสะพานนาคข้ามบาราย ทอดตรงเข้าไปสู่ตัวปราสาท เมื่อข้ามบารายไปแล้ว จะพบกำแพงชั้นนอกสุด ล้อมรอบตัวปราสาท มีซุ้มประตูหรือเรียกว่าโคปุระอยู่ด้านหน้า บริเวณโคปุระกลางที่กำแพงชั้นนอก .....เมื่อเดินเข้าไปในโคปะรุ ก่อนจะมุ่งตรงสู่ตัวปราสาทตามทางเดินหินขนาดใหญ่เบื้องหน้า มีสิ่งน่าชมก่อนในบริเวณนี้ คือ .....เทวรูปแปดกร .....อยู่ทางด้านขวาของโคปุระ ประดิษฐานเทวรูปขนาดใหญ่ราวสองเท่าตัวคน แต่เดิมเชื่อว่า เป็นเทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์ แต่ปัจจุบันนักวิชาการลงความเห็นว่า น่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร เพราะเป็นศิลปะแบบบายอน อายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นยุคหลังจากสร้างนครวัด ทั้งยังมีแปดกร และบนพระเศียรมีร่องรอยแกะสลักสัญลักษณ์ พระอามิตาภะพุทธประดับอยู่ .....อัปสราเผยยิ้ม .....ออกจากโคปุระชั้นแรกเดินไปด้านขวาตามขอบหินที่มุมผนังจะพบนางอัปสราสวมมงกุฎ และเครื่องทรงตามแบบศิลปะนครวัด ลักษณะต่างจากอัปสราตนอื่นทั้งหมด เพราะเผยยิ้มเต็มหน้า มองเห็นฟันจะแจ้ง เชื่อว่าเป็นอัปสราตนเดียวในนครวัดที่ยิ้มเห็นฟัน .....สะพานนาค .....คือทางเดินหินขนาดใหญ่มุ่งตรงไปยังตัวปราสาท เปรียบเหมือนสะพานสายรุ้งที่ทอดยาวไปสู่เขาพระสุเมรุตามคติความเชื่อของฮินดู ผ่านบรรลัยที่ตั้งขนาบอยู่ทั้งสองด้าน

ทัวร์เขมร /

ขอม คือ ชื่อทางวัฒนธรรม

.....สันนิษฐานว่า ขอม มาจากคำว่า ขะแมร์-กรอม (ที่แปลว่าใต้) เมื่อพูดเร็วๆ จึงกลายเป็น "ขอม" ขอมนั้นมิได้หมายถึงชนชาติทว่าเป็นชื่อทางวัฒนธรรม หมายถึง คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา นับถือศาสนาฮินดูหรือพุทธมหายานทางใต้ของแคว้นสุโขทัย อาจจะหมายถึง พวกละโว้ (ลพบุรี) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่างๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่า ขอมคือ พวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนาในสมัยอาณาจักรสุโขทัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่าขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครที่เป็นฮินดู หรือพุทธมหายานเป็นได้ ชื่อว่า ขอมทั้งหมด .....ซัวสเดยพนมเปญ .....กรุงพนมเปญเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำสายมาบรรจบกัน ได้แก่ แม่น้ำโขงตอนบน แม่น้ำโขงตอนล่าง แม่น้ำบาสสัก และแม่น้ำโตนเล จึงเป็นที่เรียกขานกันว่า เมืองจัตุรมุข .....ครั้งหนึ่งเมืองจัตุรมุขแห่งนี้ เคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย ด้วยเป็นเมืองที่อาณานิคมฝรั่งเศสออกแบบก่อสร้างและวางผังเมืองไว้อย่างสวยงามที่สุดในอินโดจีนช่วงทศวรรษ 1920 โดยมีถนนสายกว้างตัดผ่านกันหลายสาย นอกจากเป็นศูนย์กลางการบริหารของประเทศแล้ว กรุงพนมเปญยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยพนมเปญ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของกัมพูชา เปิดสอนทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ พนมเปญยังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชานอกเหนือจากเสียมเรียบ แลกำปงโสม (สีหนุวิลล์) ด้วย .....หลังถูกทัพสยามตีแตกในปี ค.ศ. 1353 กษัตริย์เขมรองค์ต่างๆ ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงหลายครั้ง กว่าจะสถาปนากรุงพนมเปญเป็นเมืองหลวงอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1866 นับจากนั้นเป็นต้นมา พนมเปญก็ผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาพร้อมกับประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเป็นอาณานิคม มาจนถึงยุคของเขมรแดงที่กวาดต้อนชาวพนมเปญออกไปทำไร่ทำนาตามท้องถิ่นชนบท จนเมืองหลวงแห่งนี้โล่งร้าง แต่ก็มีสถานที่สำคัญหลายแห่งในพนมเปญที่รัฐบาลพอล พต ฝาเรื่องราว ไว้ให้เป็นมรดกสำหรับการท่องเที่ยว เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่อุบัติขึ้นในครั้งนั้น .....ความงดงามของพนมเปญคือ เคหสถาน อาคารที่ทำการราชการและอาคารพาณิชย์ที่ประดุจกระจกสะท้อนสถาปัตยกรรมสมัยอาณานิคมหรือที่เรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการปรับปรุงให้เป็นร้านอาหารแบบคลาสสิก แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกปล่อยให้ทรุดโทรม ย่านใจกลางเมืองบนถนนสายหลักจะเป็นคฤหาสน์หลังโต ที่มีรั้วรอบขอบชิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของผู้มีตำแหน่งในรัฐบาลหรือนักธุรกิจ ขณะที่ในซอยเล็กๆ ไม่ไกลกันจะมีประชาชนอยู่อย่างแออัดในบ้าน หลังเล็กๆ ขัดแย้งกับภาพที่เห็นบนถนนสายหลักโดยสิ้นเชิง .....นอกจากนี้ในพนมเปญยังประกอบด้วยตลาด 2 แห่งที่น่าสนใจแห่งแรก คือ ตลาดใหม่ หรือตลาดพาซาร์ธเมย เป็นอาคารทรงกลมกว้างใหญ่แบบอาร์ตเดโก มีเพดานสูง อาคารมีปีก 4 ด้าน สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 สมัยที่ยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส จำหน่ายสินค้าสารพัดชนิด อีกตลาดหนึ่ง

ทัวร์เขมร /

พิพิธภัณฑ์ต็วลซฺแลง (Toul Sleng) ความโหดร้ายที่ต้องจารจำ

.....อาคารแห่งนี้ เดิมเคยเป็นโรงเรียนมัธยม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 หลังเขมรแดงบุกยึดกรุงพนมเปญ และพอล พต เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลอาคารโรงเรียนถูกปรับใช้เป็นคุกที่รู้จักกันในชื่อ S-21 โดยจัดแบ่งเป็นห้องขังขนาดเล็ก มีประชาชนมากกว่า 20,000 คน ถูกนำตัวมาสอบสวน คุมขัง ทรมาน และ สังหาร ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก หรือคนชรา .....ช่วงแรกๆ เป้าหมายที่ถูกนำตัวมาขังทรมานในคุกต็วลซฺแลงคือ ประชาชนคนธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนมีการศึกษาที่กลุ่มเขมรแดงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นภัยและอาจให้การสนับสนุนรัฐบาล ชุดก่อน แต่ระยะหลัง รัฐบาลเขมรแดงเริ่มหวาดระแวงไปทั่ว นักโทษรุ่นท้ายๆ มีคนในสังกัดเขมรแดงเอง รวมอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก .....หลังปี ค.ศ. 1979 รัฐบาลกัมพูชาเปลี่ยนบทบาทคุกต็วลซฺแลง เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความทารุณโหดร้ายที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ โดยภาพถ่ยของเหยื่อการสังหารถูกนำมาติด เรียงราย รวมทั้งมีการจัดแสดงเครื่องทรมาน โซ่ ตรวน กุญแจมือ และอาวุธที่ใช้ในการประหาร ก่อนหน้านี้ มีการจัดแสดงนิทรรศการที่ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างกว้างขวาง คือ การนำหัวกะโหลกของเหยื่อคุกต็วลซฺแลงมาจัดเรียงเป็นรูปแผนที่ประเทศกัมพูชา ปัจจุบันนิทรรศการดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ยังมีห้องที่เต็มไปด้วยหัวกะโหลก เปิดให้เข้าชมเพื่อรำลึกถึงผู้วายชนม์ในยุคเขมรแดงครองอำนาจ .....* ทุ่งสังหารนับล้านชีวิตที่สิ้นไป .....จากพิพิธภัณฑ์ต็วลซฺแลงแล้ว ออกนอกเมืองมาทางทิศใต้ประมาณ 12 กิโลเมตร ทุ่งสังหารเจืองไอ (Choeung Ek) เป็นร่องรอยความโหดร้ายทารุณของรัฐบาลเขมรแดงที่ทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลังได้รับรู้ เหยื่อของกลุ่มเขมรแดงรวมทั้งนักโทษจากคุณต็วลซฺแลงจะถูกส่งตัวมาเพื่อสังหารและฝังรวมกันในหลุมขนาดใหญ่บริเวณนี้ หลังจากรัฐบาลเขมรแดงหมดอำนาจ มีการพบศพผู้ที่ถูกสังหารในพื้นที่บริเวณนี้มากกว่า 8,000 ราย .....ปัจจุบันมีการขุดซากโครงกระดูกขึ้นมาจากหลายหลุม และสร้างสถูปเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ แด่ผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งกะโหลกศีรษะนับร้อยนับพันที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ในตู้กระจกใสขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Killing Fields ยังถูกนำไปใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1984 เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาในยุครัฐบาลเขมรแดง จนได้รับ Academy Awards ถึง 3 รางวัล

ทัวร์เขมร /

เมืองพระตะบอง

.....พระตะบอง (Battambang) ออกเสียงแบบเขมรว่า ปัตตัมบอง แปลว่า ตะบองหาย จังหวัดพระตะบอง อยู่ทางภาคตะวันตกของกัมพูชา มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสระแก้ว และจันทบุรีของประเทศไทย ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 พระตะบองมีความสำคัญในฐานะพื้นที่แห่งการแข่งขันทางอำนาจระหว่างสยามกับญวน และกับฝรั่งเศส ในเวลาต่อมาพระตะบองเริ่มมีความสำคัญในฐานะเมืองการค้า ซึ่งมีประชากรตั้งถิ่นฐานประมาณ 2,500 คน .....พระตะบองเป็นเมืองเล็กๆ มีแม่น้ำที่ไหลมาจากจันทบุรีชื่อแม่น้ำสตังซังเกอร์ (Stung Sangker) ไหลผ่านกลางเมืองก่อนจะไหลไปลงโตนเลซาบ ด้วยเหตุนี้พระตะบองจึงอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและแหล่งทำมาหากินของชาวเมือง .....พระตะบองมีเสน่ห์ที่วิถีชีวิตแบบชนบทเรียบง่าย ชาวบ้านยังใช้วัวเทียมเกวียน ม้าเทียมเกวียน ในการสัญจรไปมา ตลาดสดพระตะบองเป็นตลาดเก่าริมแม่น้ำ พ่อค้าแม่ขายที่นี่เริ่มกิจกรรมค้าขายกันราวเก้าโมงเช้า สินค้าหลักคือ ปลานานาชนิด ชาวบ้านจะเอาปลาเป็นๆ มาวางเรียงรายบนใบตองรอลูกค้ามาเลือกซื้อ .....ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกอย่าง ซึ่งมีชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วโลก นั่นคือรถไฟไม้ไผ่ ประดิษฐกรรมจากภูมิปัญญาชาวพระตะบองที่ใช้เป็นพาหนะสัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้าน โดยการนำแคร่ไม้ไผ่มาวางบนล้อรถ ใส่เครื่องยนต์เล็กๆ เข้าไปแล้วพ่วงสายพานไปหมุนล้อใช้แล่นไปตามรางรถไฟที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นสมัยครอบครองกัมพูชา ซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว .....ต่อมานักท่องเที่ยวเห็นรถไฟไม้ไผ่แล้วอยากใช้บริการบ้าง การนั่งรถไฟไม้ไผ่ชมอาคารสไตล์โคโลเนียลที่ยังคงเหลือในพระตะบอง และสัมผัสกลิ่นอายชนบทอย่างใกล้ชิดจึงกลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมไป .....* วัดพนมซัมเปย .....ในอดีตวัดพนมซัมเปย (Phnom samprou) เป็นที่ตั้งของถ้ำที่เขมรแดงใช้สังหารเหยื่อผู้ต่างอุดมการณ์ด้วยวิธีต่างๆ แล้วโยนลงมาในเหวที่เป็นปล่องถ้ำ ต่อมากระดูกของผู้เคราะห์ร้ายในถ้ำถูกเก็บ ใส่ในตู้ไว้ส่วนหนึ่ง แล้วต่อมาได้มาทำเป็นวัดบนยอดเขาภายหลัง .....เมืองไพลิน ถิ่นเขมรแดง .....ไพลิน (Pailin) เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งในพื้นที่เนินเขาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ความสำคัญของเมืองแห่งนี้คือ การเป็นแหล่งอัญมณีของกัมพูชาและเป็นฐานที่มั่นคงของเขมรแดงในช่วงปี ค.ศ. 1979 หลังเวียดนามยกกองทหารมาขับไล่ออกจากพนมเปญ ทำให้เขมรแดงมีรายได้จากการค้าอัญมณี เพื่อนำมาใช้ต่อสู้กับรัฐบาลที่มีเวียดนามให้การสนับสนุนได้อีกหลายปี .....เชื่อกันว่าหินมีค่าในพื้นที่แถบนี้สร้างรายได้ให้กลุ่มเขมรแดงกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน เขมรแดงยึดเมืองไพลินไว้ได้จนถึงเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1996 ก่อนที่ผู้นำซึ่งแฝงตัวในพื้นที่แถบนี้อย่างเอียงสารี จะประกาศยอมแพ้จะเข้ามอบตัวต่อรัฐบาล
Promotion 0%