แบนเนอร์บทความ

ทัวร์ตุรเคีย /

ต้องมนต์สะกดไปกับเมืองโรมัน เอฟฟิซุส มหานครโบราณแห่งประเทศตุรกี

ต้องมนต์สะกดไปกับเมืองโรมัน เอฟฟิซุส มหานครโบราณแห่งประเทศตุรกี ต้องมนต์สะกดไปกับเมืองโรมัน เอฟฟิซุส มหานครโบราณแห่งประเทศตุรกี แหล่งอารายธรรมที่กำเนิดขึ้นในยุคสมัยกรีกคลาสสิค ซึ่งในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 2,500 ปี… เอฟฟิซุสตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอานาโตเลียในจังหวัดอิซเมียร์ในประเทศตุรกี ในสมัยโรมันเอฟฟิซุสเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นสองของจักรวรรดิโรมันรองจากโรมและยังถูกจารึกให้เป็น “มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเซีย” เพราะเป็นเมืองโบราณที่มีความสมบูรณ์และมั่งคั่งที่สุด ถนนทุกสายปูด้วยหินอ่อน ซึ่งในสมัยนั้นจะหาอะไรที่หรูหรากว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยมีประชากรมากถึง 250,000 ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเท่ากับทำให้เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นสองของโลกในยุคนั้น ชื่อเสียงของเมืองมาจากเทวสถานอาร์ทีมิส (สร้างเสร็จราว 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตัวเทวสถานถูกทำลายในปี ค.ศ. 401 โดยฝูงชนที่นำโดยนักบุญจอห์น คริสซอสตอมจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ทรงสร้างเมืองขึ้นมาใหม่และทรงสร้างโรงอาบน้ำสาธารณะ ต่อมาในปี ค.ศ. 614 บางส่วนของตัวเมืองก็มาถูกทำลายไปโดยแผ่นดินไหวเมื่อความสำคัญทางการค้าขายของเอฟฟีซุสลดถอยลง อ่าวก็ตื้นเขินขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาเมืองก็ถูกรุกรานเข้ายึดครองโดยพวกเปอร์เซียและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ภายหลังเมื่อโรมันเข้าครอบครองก็ได้สถาปนาเอฟฟิซุสขึ้นเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน ซากเมืองโบราณของเอฟฟีซุสเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอันมาก และยังเป็นเมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดีที่สุดเมืองหนึ่ง ในเมืองจะพบถนนหินอ่อนผ่านใจกลางเมืองเก่าที่สองข้างทางเต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างเมื่อสมัย 2,000 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงละครกลางแจ้งที่สามารถจุผู้ชมได้กว่า 30,000 คน ห้องอาบน้ำแบบโรมันโบราณ ที่ยังคงเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ ห้องสมุดโบราณที่มีวิธีการเก็บรักษาหนังสือไว้ได้เป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นศิลปะแบบเฮเลนนิสติคที่มีความอ่อนหวานและฝีมือประณีต ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ ต้องมนต์สะกดไปกับเมืองโรมัน เอฟฟิซุส มหานครโบราณแห่งประเทศตุรกี เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของเอฟฟิซุส งดงามและมีมนต์ขลังมากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนมา เที่ยวตุรกี แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์เกาหลี /

สัมผัสฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ณ อุทยานแห่งชาติโซรัคซาน แลนด์มาร์กดีๆ ที่ตุลานี้ต้องไปโดน !!

สัมผัสฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ณ อุทยานแห่งชาติโซรัคซาน แลนด์มาร์กดีๆ ที่ตุลานี้ต้องไปโดน !! เติมเต็มประสบการณ์การชมใบไม้เปลี่ยนสีของคุณ ณ อุทยานแห่งชาติโซรัคซาน สุดยอดแลนด์มาร์กแห่งการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดของประเทศเกาหลี ตุลาคมนี้ !! แพลนไว้แล้วออกไปลุยกันเล๊ย… อุทยานแห่งชาติโซรัคซานตั้งอยู่ในเมืองซกโช จังหวัดคังวอนโด มีพื้นที่ทั้งหมด 354 กิโลเมตร จัดได้ว่าเป็นแนวเขาที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้และเป็นที่แรกๆ ที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี ซึ่งจะเริ่มในช่วงเดือนกันยายน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและจะไปพีคที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ค่ะ ตลอดการเที่ยวชมภายในอุทยาน คุณจะได้ดื่มด่ำกับพรรณไม้นานาชนิดที่กำลังเปลี่ยนสีไล่เฉดไปทั่วภูเขา เคล้าคลอด้วยลมหนาวที่กำลังพัดผ่านมา ประกบกับเสียงลมเสียงใบไม้พริ้วไหว เสียงนก เสียงแมลง ที่คอยเติมแต่งบรรยากาศให้ที่แห่งนี้ เป็นดินแดนในจินตนาการ… หลังจากดื่มด่ำกับสีสันของฤดูกาลกันมาสักพักแล้ว ใครที่เริ่มหิว ภายในอุทยานก็มีร้านค้าร้านอาหาร ค่าเฟ่ มากมาย ให้คุณได้เลือกลิ้มลองกันตามใจชอบ หรือใครที่เป้นคอกาแฟอยากจิบกาแฟเบาๆ เสพบรรยากาศอันแสนสุข ที่แห่งนี้ก็มีร้านกาแฟไว้บริการนะคะ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาเยือนอุทยานแห่งนี้ก็คือ การขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขา Gwongeumseong Fortress ซึ่งที่แห่งนี้มีกระเช้าคอยบริการนักท่องเที่ยวอยู่ โดยจะมีค่าบริการไป - กลับอยู่ที่ 10,000 วอน หรือประมาณ 370 บาท ต้องบอกว่าระหว่างทางที่กระเช้าเคลื่อนตัวนั้น วิวทิวทัศน์ของเค้าสุดยอดจริงๆ ตัวกระเช้าจะไม่ได้ขึ้นไปยังจุดสูงสุดของยอดเขา Gwongeumseong Fortress โดยจะจอดที่จุดพัก ซึ่งตรงนี้ถ้าใครต้องการจะไปพิชิตจุดสูงสุดของยอดเขาจะต้องเดินเท้ากันต่อนะคะ แต่ถ้าใครไม่อยากขึ้นก็สามารถชมวิวอยู่ตรงจุดพักกระเช้าได้ค่ะ งดงามเหมือนกัน อัตราค่าเข้าชมอุทยาน : ผู้ใหญ่ 3,500 วอน (ประมาณ 100 บาท), เด็ก (อายุ 14-19) 1,000 วอน (ประมาณ 30 บาท), เด็ก(อายุ 8-13) 500 วอน (ประมาณ 15 บาท) เวลาเปิดทำการ : เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 7.00 น. - 17.00 น. การเดินทาง : จากเมืองซกโช, ขึ้นรถ City Bus และลงที่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที, มีรถทุกๆ 10 นาที) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึง จากเมืองซกโช, ขึ้น Taxi มาลงที่อุทยานแห่งชาติ (ใช้เวลาประมาณ

ทัวร์พม่า /

มหาเจดีย์ชเวสิกอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดแห่งเมืองพม่า

มหาเจดีย์ชเวสิกอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดแห่งเมืองพม่า มหาเจดีย์ชเวสิกอง (Shwezigon Paya) เจดีย์องค์ใหญ่ สีทอง เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง พุกาม ศาสนสถานอันเป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่าและชาวไทย โดยชื่อ “ชเวสิกอง” มีความหมายว่า เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ และยังเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่าอีกด้วย… เจดีย์ชเวสิกองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีตอนบน เขตเมืองพุกาม เริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าอโนรธามหาราช (พ.ศ.1587 – 1620) มาเสร็จสิ้นสมัยพระเจ้าจันสิตตา (พ.ศ.1627 - 1656) รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์พุกาม พุทธลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบมอญ ประดับลายงดงามด้วยเฟื่องอุบะ และแถบคาดรอบองค์ระฆังที่เรียกว่า “รัดอก” แซมลวดลายประดับทั้งขอบล่างและขอบบน องค์เจดีย์หุ้มด้วยแผ่นทอง ตั้งบนฐาน 3 ชั้น รวมความสูงจากฐานถึงยอด 53 เมตร หรือกว่า 170 ฟุต รอบระเบียงมีภาพแผ่นเคลือบปูนปั้นเล่าเรื่องในนิทานชาดกสอนใจคน รอบฐานเจดีย์มีวิหารโถงประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ ถือเป็นศิลปะพุกามรุ่นแรกที่ได้รับอิทธิพลจากมอญ จุดที่สร้างเจดีย์ เกิดจากช้างเสี่ยงทายของพระเจ้าอโนรธาเดินมาหยุดอยู่ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี จึงเฉลิมนาม “ชเวสิกอง” หรือในสำเนียงพม่าว่า “ชเวซีโข่ง” แปลตรงตัวว่าเจดีย์ทองบนพื้นทรายเจดีย์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของพม่าที่มีเหนือมอญ และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธาในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ที่สำคัญคือเป็นเจดีย์บรรจุพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจดีย์ชเวสิกองมีความอัศจรรย์ 9 ประการของพระมหาธาตุชเวสิกอง คือ 1.ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม 2.กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ 3.เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย) 4.ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม) 5.มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ) 6.เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม 7.แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื่นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง 8.ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์ 9.มีต้นพิกุล (Khaye หรือ Chayar) ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปรกติจะออกปีละครั้ง) ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ มหาเจดีย์ชเวสิกอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดแห่งเมืองพม่า เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนเสน่ห์ของมหาเจดีย์ชเวสิกอง งดงาม ดูศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์เสน่ห์มากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวพม่า แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์เวียดนาม /

นาขั้นบันได ซาปา (SAPA) มนต์เสน่ห์เมืองแห่งขุนเขาสายหมอก

นาขั้นบันได ซาปา (SAPA) มนต์เสน่ห์เมืองแห่งขุนเขาสายหมอก เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไปแล้วนะคะ กับ นาขั้นบันได ซาปา แหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งเมืองขุนเขาสายหมอก สุดยอดแลนด์มากที่คุณจะได้ย่อนจิตย่อนใจไปกับอากาศที่บริสุทธิ์ วิวทิวทัศน์อันแสนงดงามของนาขั้นบันได และวัฒนธรรมที่แสนอบอุุ่นจากชนพื้นเมือง ซึ่งของดีแบบนี้หาชมที่ไหนไม่ได้ต้องที่ ซาปา เวียดนามเหนือเท่านั้น… ซาปา (SaPa) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในเขตจังหวัดลาวไค ใกล้กับชายแดนจีน ภูมิประเทศตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองแห่งการพักผ่อนของฝรั่งเศสที่ปกครองเวียดนามอยู่และพวกเขาได้สร้างสถานีบนภูเขาขึ้นในปี พ.ศ.2465 จากนั้น จึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึ่งอยู่ในฮานอยทยอยเดินทางมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จึงทำให้ที่แห่งนี้รู้จักเป็นวงกว้าง ไฮไลท์ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกก็คงจะหนีไม่พ้น นาขั้นบันได้ ซึ่งที่ซาปามีนาขั้นบันไดอยู่หลายที่ แต่ที่เด็ดสุด! จะอยู่ที่หมู่บ้าน หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village) หมู่บ้านของชาวม้งดำตั้งอยู่ในหุบเขา Muong Hoa ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 2 กิโลเมตร Cat Cat Village เป็นหมู่บ้านชนพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีภูมิทัศน์สวยงาม ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาและทุ่งข้าวโพดเขียวขจีที่กำลังกระทบกับแสงแดดและพริ้วไหวไปตามสายลม เคล้าคลอด้วยสายลมเย็นๆ ชวนสัมผัสจนรู้สึกว่ากำลังท่องอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน นอกจากเราจะได้เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติอันสวยงามและบ้านเรือนของชาวม้งดำที่น่าสนใจแล้ว ที่แห่งนี้ยังเรายังสามารถเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่และวิถีชีวิตแบบมีความสุขของประชาชนชาวเขาพื้นเมือง ที่พึ่งพาธรรมชาติในการดำเนินชีวิตอันเรียบง่าย ตลอด 2 ข้างทางยังมีคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายสินค้าพื้นเมืองให้เราได้แวะช้อปปิ้งตลอดทางอีกด้วย ส่วนใครที่ต้องการบริจาคสิ่งของก็สามารถนำติดตัวไปด้วยได้นะคะ เพราะที่นี่มีเด็กชาวเขารอรับบริจาคอยู่ จะเป็นเสื้อผ้า ผ้าห่ม รองเท้า หรือ ขนมก็ได้ค่ะ ถือโอกาสทำบุญไปด้วยเลย ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ นาขั้นบันไดซาปา (SAPA) มนต์เสน่ห์เมืองแห่งขุนเขา เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของซาปา อยากหนีไปฟอกปอดกันเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวเวียดนาม แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholida

ทัวร์ยุโรป /

มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ความหรูหรากลางมหานครแห่งแฟชั่น

มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ความหรูหรากลางมหานครแห่งแฟชั่น มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ที่สุดของสถาปัตยกรรมกอธิคแห่งเมืองมิลาน ตั้งโดดเด่น หรูหราอยู่ตรงกลางจตุรัสแห่งมหานครแฟชั่น แลนด์มาร์กท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองแห่งนี้… ดูโอโม่แห่งมิลาน เป็นโบสถ์ใหญ่อันดับ 3 ของยุโรป ใช้ศิลปะกอธิคที่หรูหราในการออกแบบ และใช้เวลาในการสร้างนานเกือบ 600 ปีเลยทีเดียว โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ ปี ค.ศ.1386 มีความความสูงถึง 157 เมตรและกว้างถึง 92 เมตร จนได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กษัตริย์วิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 ปฐมกษัตริย์ของอิตาลีในการรวมชาติ ลานกว้างด้านหน้าดูโอโม่มีอนุสาวรีย์ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 ทรงม้า คือสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ และเป็นที่พบปะของผู้คน ความโดดเด่นของมหาวิหารนั้นก็คือ การตกแต่งประดับประดาที่เน้นความหรูหราอย่างเต็มที่โดยเฉพาะรูปปั้นรอบตัวอาคาร มีจำนวนกว่า 3,000 ชิ้น ขวามือของโบสถ์มีอาคารทรงกากบาทหลังหนึ่ง และหลังคามุงด้วยกระเบื้องโปร่งใส เรียกกันว่า“อาเขต” อีกทั้งยังถูกรายล้อมด้วยยอดแหลมประมาณ 135 ยอดบนหลังคาทำให้มหาวิหารนั้นดูอลังการ สวยงามแปลกตา ยอดที่สูงที่สุดประดับด้วยรูปสลักพระแม่มาเรียสูง 4 เมตร หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า “มาดอนนิน่า” ภายในมหาวิหารก็ถูกตกแต่งอย่างหรูหราเช่นกัน มีรูปปูนปั้นของนักบุญและเรื่องราวจากพระคัมภีร์ บนผนัง เพดาน หน้าต่างเต็มไปด้วยภาพเขียนและสเตนกราสที่มีสีสันลวดลายสวยงามวิจิตร บริเวณภายในกว้างขวาง สามารถบรรจุคนได้มากถึง 40,000 คนเลยทีเดียว มหาวิหารดูโอโม่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของสติปัญญาและอัฉริยะภาพของสถาปนิกในสมัยกลาง โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศสที่มีสถาปัตยกรรมกอธิคมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงความน่าทึ่งของสถาปัตยกรรมกอธิคที่มีระยะเวลาการสร้างที่ยาวนานและความสามารถของช่างฝีมือที่เก่งกาจที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานอันน่าเกรงขามแสดงถึงพลังอำนาจของคริสตจักรได้เป็นอย่างดี วันเวลาทำการ : 10:00 - 18:00 น. ปิดทุกวันพุธ อัตราค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี แต่ถ้าต้องการถ่ายรูปต้องเสีย 2 ยูโร ค่าขึ้นลิฟ 8 ยูโร เดินขึ้นบันได 5 ยูโร ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ มหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) ความหรูหรากลางมหานครแห่งแฟชั่น เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของมหาวิหารดูโอโม่ หรูหรา งดงาม อลังการมากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวอิตาลี แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์มาเลเซีย /

วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ศาสนสถานฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์แห่งมาเลเซีย

วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ศาสนสถานฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์แห่งมาเลเซีย วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในถ้ำหินปูนเก่าแก่อายุ 400 ล้านปี ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู และเป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในศาสนาฮินดูอีกด้วย ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวd;jkหลายพันคนเดินทางมาที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลประจำปี ไทปูซัม … ถ้ำหินปูนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ห่างไปประมาณ 12 เมตร มีความยาวถึง 400 เมตรและสูง 100 เมต ประกอบด้วยสามถ้ำหลัก ซึ่งใช้เป็นวัดและศาลฮินดู สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของถ้ำบาตูก็คือ รูปปั้น พระขันธกุมาร สีทองอร่ามตั้งเด่นสง่าอยู่ด้านหน้าบันไดทางขึ้นปากถ้ำ ซึ่งมีความสูงถึง 42.7 เมตร เลยทีเดียว ซึ่งพระขันธกุมารนั้นเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากของชาวอินเดีย และยังเป็นเป็นโอรสองค์ที่ 2 ของพระศิวะและพระแม่อุมาอีกด้วย ก่อนที่เราจะผ่านเข้าไปชมความงดงามภายในถ้ำได้นั้น คุณจะต้องผ่านบันไดกว่า 272 ขั้น ที่ถอดยาวขึ้นไปสู่ตัวถ้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนการขึ้นสวรรค์ไปให้ได้ก่อน ใครที่กำลังวางแผนมาที่นี่อาจจะต้องเตรียมตัวฟิตร่างกายกันสักนิดนะคะ แต่ขอบอกว่าคุ้มแน่นอนถ้าได้ขึ้นมาแล้ว เพราะคุณจะพบกับทัศนียภาพและเส้นขอบฟ้าที่สวยงามของเมืองได้อย่างชัดเจน รอบๆ วัด คุณจะเห็นลิงวิ่งเล่นกันอย่างอิสระ   เมื่อเข้ามาสู่ภายในถ้ำแล้ว คุณจะได้พบกับรูปปั้นเทพเจ้ามากมายที่ถูกประดับประดาอยู่ตามซอกหิน และบริเวณด้านในสุดจะพบกับศาลที่ชาวฮินดูมาไหว้สักการะ ขอพร ซึ่งศาลแห่งนี้เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์มากๆ ใครได้มาขอพรแล้วก็มักจะสมหวังกลับไปเสมอ อีกหนึ่งเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรพลาดเลยซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ก็คือ เทศกาลประจำปี ไทปูซัม เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระขันธกุมาร ในวันนั้นจะมีชาวฮินดูทั่วสารทิศแห่เข้ามาร่วมเฉลิมฉลอง เพื่อขอพรให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยไฮไลท์ที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเทศกาลนี้ที่ใครเห็นเป็นต้องอึ้งกันไปตามๆ ก็คือ จะมีผู้แสวงบุญจำนวนหนึ่งใช้เหล็กเสียบผิวหนังตามร่างกายต่างๆ เพื่ออุทิศตนให้กับพระขันธกุมาร และนักแสวงบุญอีกส่วนจะแบกแท่นบูชาที่มีคนโทบรรจุนม ซึ่งถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เดินขึ้นบันไดกว่า 272 ขั้น เพื่อไปขอพรจากพระขันธกุมาร ในอดีตเคยมีบันทึกว่าในปีพ.ศ. 2549 มีผู้แสวงบุญชาวฮินดูมาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลไทปูซัมมากกว่า 1,500,000 คน ซึ่งใครที่อยากสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่และมีมนต์ขลังนี้ก็ลองวางแผนมาดูนะคะรับรองว่าคุณจะต้องทึ่งกับมนต์สะกดนี้อย่างไม่ผิดหวังแน่นอน ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ วัดถ้ำบาตู (Batu Caves) ศาสนสถานฮินดูอันศักดิ์สิทธิ์แห่งมาเลเซีย เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนเสน่ห์ของวัดถ้ำบาตู สวยงามและมีมนต์เสน่ห์มากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวมาเลเซีย แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์ยุโรป /

สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก

สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก ขึ้นชื่อว่าเป็น Top of Europe แล้ว แน่นอนว่าทุกไฮไลท์ของ สวิสเซอร์แลนด์ ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ ตั้งแต่ธรรมชาติ ป่า เขา ไปจนถึงเมืองในฝันและประวัติศาสตร์สุดคลาสสิก เรียกได้ว่าเป็นแดนสวรรค์ของนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว แต่คุณผู้ชมรู้ไหมคะ? ว่านอกจากสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ยอดเขาจุงเฟรา หมู่บ้านเซอร์เมท เมืองกรินเดอวาล ที่สวิสเซอร์แลนด์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย และหนึ่งในนั้นที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก แห่งเมืองลูเซิร์น… สะพานไม้ซาเปลเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1333 หรือ ศตวรรษที่ 14 มีอายุยาวนานกว่า 600 ปี ตัวสะพานมีลักษณะเป็นโครงไม้รูปสามเหลี่ยมทอดยาวผ่านแม่น้ำรอยส์ ซึ่งมีความยาวถึง 204 เมตรเลยทีเดียว แต่ในปี 1993 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ทำให้ตัวสะพานได้รับความเสียหาย จนต้องทำการบูรณะใหม่ทำให้ความยาวของสะพานลดลงเหลือ 170 เมตร แต่ความสวยงามก็ยังคงเดิม ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตและเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นไปแล้ว ตลอดการเดินเล่นบนสะพานเราจะได้พบกับภาพเขียนมากมาย ภายใต้หลังคาและแนวยาวของสะพานที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นในศตวรรษที่ 17 ซึ่งถูกวาดโดยจิตรกรชาวแคททอลิค มีทั้งหมด 158 ภาพ แต่เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งนั้นเหลือเพียง 47 ภาพที่ยังรักษาไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีหอคอยน้ำ (Wasserturm or Water Tower) หอคอยทรงแปดเหลี่ยมมีฐานเชื่อมกับสะพานไม้ชาเปล ในสมัยก่อนเคยถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ และเป็นที่เก็บเอกสารสำคัญต่างๆของราชการ แต่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกยกเลิกการใช้งาน และกั้นไว้ไม่ให้ใครเข้า แต่นักท่องเที่ยวยังสามารถถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกได้ ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับสะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของสะพานไม้ชาเปล งดงาม มีมนต์ขลังมากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนมา เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ แต่ไม่รู็ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์ยุโรป /

ปราสาทช็องบอร์ (Château de Chambord) มนต์เสน่ห์อันน่าหลงไหลแห่งฝรั่งเศส

ปราสาทช็องบอร์ (Château de Chambord) มนต์เสน่ห์อันน่าหลงไหลแห่งฝรั่งเศส ปราสาทช็องบอร์ เป็นหนึ่งในพระราชวังสำคัญของประเทศฝรั่งเศส แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำที่คุณจะได้อิ่มเอมไปกับความงดงามสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่สไตล์เรเนซองส์ผสมผสานกับการตกแต่งแบบยุคกลาง พร้อมเคล้าคลอด้วยสภาพแวดล้อมอันสุดแสนจะโรแมนติก อีกทั้งที่แห่งนี้ยังถูกใช้เป็นต้นแบบปราสาทในการ์ตูนเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูญของวอลต์ดิสนีย์อีกด้วย… Château de Chambord ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ บริเวณเขตชนบทอย่างช็องบอร์ ในจังหวัดลัวเรแชร์สร้างในปี ค.ศ.1519 โดยพระราชประสงค์ของกษัตริย์ฟรองซัวร์ที่ 1 บนพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นป่าไม้ขนาดใหญ่ เนื่องจากพระองค์เป็นผู้ที่มีความหลงไหลในกีฬาล่าสัตว์เป็นอย่างมาก พระองค์จึงสร้างพระตำหนักเพื่อประทับระหว่างที่พระองค์ทรงออกล่าสัตว์ ด้วยความที่ที่พระองค์ทรงได้ครอบครองเมืองมิลานด้วย ทำให้การสร้างปราสาทแห่งนี้ใช้แบบศิลปะสไตล์เรเนซองส์ของอิตาลี ผสมผสานเข้ากับการตกแต่งแบบยุคกลาง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์แบบและงดงามมากที่สุดเพื่อให้ทั้งยุโรปอิจฉา ด้วยความโดดเด่นของปราสาทที่มีความสูงถึง 156 เมตร ประดับเข้ากับธรรมชาติโดยรอบอันงดงาม มีแม่น้ำลัวร์ไหลผ่าน หลายๆ สิ่งช่วยกันเติมแต่งให้ที่แห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะ จนถูกขนานนามว่าเป็นปราสาทที่มีความสวยงามมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากปราสาทนอยชวานสไตน์ของเยอรมัน ภายในตัวปราสาทประกอบไปด้วยห้องหับต่างๆ กว่า 462 ห้อง แต่ละห้องถูกตกแต่งอย่างวิจิตร งดงาม มีงานศิลปะ ประติมากรรมเเละงานเเกะสลักมากกว่า 800 ชิ้น เรียกได้ว่าเสพกันอย่างเต็มอิ่มแน่นอน นอกจากนั้นยังมีเตาผิงมากกว่า 282 เตาอีกด้วย ถือว่าเป็นจำนวนเตาผิงที่มีปริมาณมากเมื่อเทียบกับปราสาทอื่นๆ เเละมีบันได้กว่า 77 จุด ให้เราได้เดินกันอย่างเพลิดเพลินเลยทีเดียว นอกจากการชมความสวยงามภายในปราสาทแล้ว ที่แห่งนี้ยังมีกิจกรรมนอกปราสาทให้เราทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถม้าคลาสสิก เช่าเรือพาย ปั่นจักรยานชมวิวปราสาท หรือจะนั่งปิกนิกพักผ่อนภายใต้ความรื่นรมย์ก็เก๋ไก๋ไม่แพ้กันค่ะ ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ ปราสาทช็องบอร์ มนต์เสน่ห์อันน่าหลงไหลแห่งฝรั่งเศส เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของปราสาทช็องบอร์ โอ่อ่า งดงามดั่งปราสาทในฝันเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนมา เที่ยวฝรั่งเศส แต่ไม่รู็ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์อียิปต์ /

หุบเขากษัตริย์ และ สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน มหัศจรรย์มนตราแห่งอียิปต์

หุบเขากษัตริย์ และ สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน มหัศจรรย์มนตราแห่งอียิปต์ นอกจากความโดดเด่นของพีระมิดกีร์ซาที่มีชื่อเสียงก้องโลกแล้ว ที่ อียิปต์ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย และหนึ่งในนั้นที่เราจะพาทุกคนไปรู้จักก็คือ หุบเขากษัตริย์ และ สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน หุบเขาที่เป็นหลุมฝังศพของเหล่ากษัตริย์ และราชวงศ์ของอียิปต์โบราณ สถานที่เก่าแก่ที่คุณควรไปสัมผัสให้ได้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง… หุบเขากษัตริย์ ตั้งอยู่ที่เทือกเขาทีบันอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ตรงข้ามกับเมืองธีปส์ หรือเมืองลักซอร์ ในอดีตที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นฝังศพของฟาโรห์ 63 พระองค์ เหล่ากษัตริย์ และราชวงศ์ของอียิปต์โบราณ ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 18 ถึง 20 แต่ละหลุมจะมีห้องขนาดใหญ่ และเล็กต่างกันไป มีความซับซ้อนมากกว่า 120 ห้อง ด้านหน้าทางเข้าสุสานฟาโรห์บนยอดเขานั้นดูคล้ายปลายแหลมยอดปิรามิด เป็นการเลือกหวงซุ้ยในการฝั่งศพ ให้คล้ายว่าฝังอยู่ใต้ปิรามิด สุสานเหล่านี้เป็นสุสานที่ถูกเลือกให้เป็นสุสานที่เก็บ มัมมี่และสมบัติของกษัตริย์ถึง 63 สุสาน แต่ละสุสานมีขนาดใหญ่เล็กต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาครองราชย์ สุสานเริ่มสร้างเมื่อฟาโรห์ครองราชย์ และปิดเมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ภายในหลุมมีจิตรกรรมที่งดงามสีสดใสราวกับเพิ่งวาดเสร็จไม่นานนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หุบเขาแห่งนี้มีชื่อเสียงมากๆ จนนักท่องเที่ยวจากทั่งโลกหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสายคือ การค้นพบสุสาน ฟาโรห์ทุตอังค์อามุน (King Tutankhamun) ในปีค.ศ. 1922 ซึ่งช่วงนั้นก็ถือเป็นข่าวใหญ่กันเลยทีเดียว เพราะภายในนั้นมีสมบัติมากมายมหาศาลที่ถูกเก็บไว้ภายในห้องของสุสาน และที่พีคไปกว่านั้นก็คือการค้นพบมัมมี่พระศพของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนค่ะ ซึ่งถูกบรรจุไว้ในตู้ทองคำถึง 4 ชั้น เป็นอะไรที่ Amazing มากเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังเจอโลงพระศพที่มีรูปร่างคนถูกประดับด้วยทองอีก 3 ชั้น และเมื่อเปิดออกถึงพบกับมัมมี่พระศพของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน พร้อมทั้งพบหน้ากากทองคำที่จำลองแบบพระพักตร์ของพระองค์ไว้ ซึ่งพอเปิดหน้ากากออกก็พบกับพระพักตร์ของพระองค์ มัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเลยค่ะ หน้ากากทองคำของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของยุคทองในสมัยนั้น ฟาโรห์ทุตอังค์อามุนมีชื่อเสียงมากเรื่องคำสาปของฟาโรห์ เนื่องจากเหนือสุสานมีข้อความอียิปต์โบราณเขียนไว้แปลได้ว่า ‘มัจจุราชจะมาสู่ผู้ซึ่งรบกวนการบรรทมของฟาโรห์’ และหลังการเปิดสุสานของพระองค์ มีผู้เกี่ยวข้องในการเปิดเสียชีวิตไปกว่า 22 คนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพราะคำสาปขององค์ฟาโรห์ นอกจากการเดินชมบรรบากาศและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของสุสานแห่งนี้แล้ว ที่แห่งนี้ยังมีไฮไลท์น่าสนใจอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการขึ้นบอลลูนชมวิวทิวทัศน์และสัมผัสกับบรรยากาศอันงดงามของบริเวณโดยรอบ ซึ่งในโลกก็มีไม่กี่ที่ที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ ใครที่ชอบความตื่นเต้นและอยากสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ ก็ไม่ควรพลาดนะคะ ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ หุบเขากษัตริย์ และ สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน มหัศจรรย์มนตราแห่งอียิปต์ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนเสน่ห์ของที่แห่งนี้ งดงามและมีมนต์ขลังมากเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวอียิปต์ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์ยุโรป /

นอร์ธเคป (North Cape) ที่สุดของจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนแห่งนอร์เวย์

นอร์ธเคป (North Cape) ที่สุดของจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนแห่งนอร์เวย์ หนึ่งในไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนดินแดนนอร์เวย์ ก็คือ การเดินทางมาชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน ณ แหลม นอร์ธเคป จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย และยังเป็นจุดที่สามารถชม พระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) ได้อย่างชัดเจนและสวยที่สุดในโลก… นอร์ธเคปเป็นแหลมลักษณะหน้าผาสูงชันที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลทางเหนือของเกาะมาเกโรยา มีเมือง ฮอนนิงสวัก (Honningsvag) เป็นด่านแรกก่อนจะเข้าสู่นอร์ธเคป อีกทั้งยังเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของประเทศนอร์เวย์ และอยู่ทางเหนือมากที่สุดในยุโรปอีกด้วย เมืองฮอนนิงสวัก คือ เมืองที่มีความสำคัญทางด้านการท่องเที่ยวของประเทศนอร์เวย์เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในดินแดนสุดขั้วโลก ที่มีมานานนับ 10,300 ปีมาแล้ว ซึ่งจะได้สัมผัสวิถีความเป็นอยู่ของชาวแลปแลนด์ ชนชาวพื้นเมืองที่อยู่ในดินแดนขั้วโลกแห่งนี้นั่นเอง จุดที่เรียกได้ว่าฮิตที่สุดของแหลมนอร์ธเคปจะอยู่ที่ตรงอนุสรณ์สถานลูกโลกขนาดใหญ่ เพราะเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้อย่างชัดเจนและสวยที่สุด ซึ่งในปีนึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนในฤดูร้อน และชมแสงเหนือในฤดูหนาว ณ ที่แห่งนี้ นอกจากนี้บริเวณนอร์ธเคปนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อ และยังมี พิพิธภัณฑสถานไทย ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2532 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงเดินทางมายังนอร์ธเคปแห่งนี้เมื่อปี 1907 และเป็นบุคคลแรกๆ ที่ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ภายในมีรูปปั้นของรัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยข้อมูลบอกเล่าถึงทริปการเดินทางเมื่อครั้งเสด็จมาเยือนนอร์เวย์และนอร์ธเคปในครั้งนั้น ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ นอร์ธเคป (North Cape) ที่สุดของจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนแห่งนอร์เวย์ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับมนต์เสน่ห์ของนอร์ธเคป สมกับเป็นทำเลทองในการชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนมา เที่ยวนอร์เวย์ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทัวร์ยุโรป /

สัมผัส 4 เมืองแห่งดอกไม้ สุดโรแมนติกและงดงามมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์

สัมผัส 4 เมืองแห่งดอกไม้ สุดโรแมนติกและงดงามมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์ ถ้าถามว่าฤดูไหนที่เหมาะกับการชมทุ่มดอกไม้สวยๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น “ซัมเมอร์” แน่นอน นั่นก็เพราะเป็นช่วงที่พืชพรรณไม้นานาชนิดกำลังแย่งกันผลิดอกออกผล บานสะพรั่งมาให้เราได้ชื่นชม ซึ่งใครที่เป็นสายธรรมชาติกำลังมองหาสถานที่สวยๆ วันนี้เราก็ได้คัดสรร 4 เมืองแห่งดอกไม้ ที่เค้าว่ากันว่าเป็นที่สุดของความงดงามและความโรแมนติก ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง เรามาชมกันเลยค่า… 1.อบอวลไปด้วยสีม่วง กับ ทุ่งลาเวนเดอร์ ณ เมือง โพรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส ที่สุดของทุ่งลาเวนเดอร์ต้องยกให้ที่แห่งนี้เลย เมืองโพรวองซ์ สถานที่กำเนิดลาเวนเดอร์แห่งแรกของโลก เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยที่แห่งนี้จะเริ่มปลูกดอกลาเวนเดอร์ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี เป็นช่วงที่ลาเวนเดอร์จะบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมอันอวลชวนฝันมากๆ เลยค่ะ ช่วงเวลาท่องเที่ยว : มิถุนายน - สิงหาคม 2.Yellow Sunshine กับดอกทานตะวันสีเหลือง ณ เมืองทัสคานี ประเทศอิตาลี สดใสไปกับสีเหลืองอร่ามของทุ่งทานตะวันที่ถูกปลูกไว้ตามทางของ เมืองทัสคานี จนเกิดเป็นทุ่งทานตะวันขนาดใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา ให้เราได้เพลิดเพลินไปกับความงดงามและเดินเก็บภาพเป็นที่ระลึก ซึ่งดอกทานตะวันที่แห่งนี้จะเบ่งบานเป็นประจำในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ช่วงเวลาท่องเที่ยว : มิถุนายน - สิงหาคม 3.ดื่มด่ำกับความงดงามของทุ่งทิวลิปหลากสี ณ สวนเคอเคนฮอฟ เมืองลิเซ่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ หนึ่งปีมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! กับการเที่ยวเคอเคนฮอฟ เทศกาลดอกทิวลิปและดอกไม้นานาพรรณที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนยุโรป งานที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับความงดงามของทุ่งทิวลิปในพื้นที่กว่า 200 ไร่ ซึ่งจัดขึ้นที่ สวนเคอเคนฮอฟ เมืองลิเซ่ ประเทศเนเธอร์แลน โดยจะมีการจัดแบ่งโซนไว้อย่างลงตัว มีทางเดินที่ร่มรื่นภายใต้ต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งคั่นกลางด้วยสีสันของดอกทิวลิปที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ช่วงเวลาท่องเที่ยว : มีนาคม - พฤษภาคม 4.เพลิดเพลินไปกับดอกไม้สีส้ม บนทุ่งดอกป๊อปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ดอกป๊อปปี้ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และะทุ่งดอกป๊อปปี้สีส้มสดใสที่บานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ หุบเขา Antelope Valley ยังนับว่าเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะได้ชมความงดงามของทุ่งดอกป็อปปี้ในช่วงซัมเมอร์ของทุกปีค่ะ ช่วงเวลาท่องเที่ยว : เมษายน - มิถุนายน ก็จบกันไปแล้วนะคะ กับ สัมผัส 4 เมืองแห่งดอกไม้ สุดโรแมนติกและงดงามมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 4 เมืองแห่งดอกไม้ที่เราคัดสรรมา งดงามดั่งทุ่งดอกไม้ในจินตนาการเลยใช่ไหมหล่ะ ส่วนใครที่กำลังจะวางแผนจะไป เที่ยวต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ลองเข้ามาปรึกษาพวกเรา planetholidays สิคะ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มความทรงจำของคุณ ที่นี่เรามี ทัวร์ดีๆ มากมาย จัดหนักจัดเต็มทุกทริป รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ planetholidays คำตอบของคนชอบเที่ยว ทัวร์ดี ราคาถูก โทรสอบถามข้อ มูลเพิ่มเติมได้ที่ Tel: 02-530-9899, 081-855-7999, 094-794-1666 , 094-796-1222  Line เราก็มีนะ @planetholiday

ทวีปอเมริกา /

9 สุดยอดไฮไลท์ที่ เที่ยวอเมริกาใต้ ที่สุดแห่งความงดงามบนคาบ 2 มหาสมุทร

9 สุดยอดไฮไลท์ที่ เที่ยวอเมริกาใต้ ที่สุดแห่งความงดงามบนคาบ 2 มหาสมุทร ต้องยอมรับว่าของเค้ามาแรงจริงๆ นะคะ กับการท่องเที่ยวไปในประเทศแถบอเมริกาใต้ ด้วยความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติอันงดงาม ภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ประเทศ และยังมีเทือกเขาแอนดีสที่ทอดยาว ประกอบกับลุ่มแม่น้ำอเมซอนอันยิ่งใหญ่ รวมทั้งแหล่งมรดกโลกวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเค้าถึงกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตได้ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปี และในวันนี้ Planetholidays ก็ได้รวบรวมและคัดสรร 9 สุดยอดไฮไลท์ที่ เที่ยวอเมริกาใต้ ที่สุดแห่งความงดงามบนคาบ 2 มหาสมุทร มาฝากทุกคน เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าดินแดนฝั่งทางใต้จะมีอะไรให้เราตื่นตาตื่นใจบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปพบกับพวกเค้ากันเลย… 1.มาชูปิกชู (Peru) มาชู ปิกชู หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อนึงคือ เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงประเทศ เปรู บนยอดภูเขาสูงอยู่ในแนวเทือกเขาแอนตีสซึ่งมีความสูงถึง 2100 เมตร จากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญยิ่งทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันเลืองชื่อ ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ และยังได้ถูกรับเลือกเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย 2.เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) เกาะอีสเตอร์เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศชิลี ที่แห่งนี่เป็นที่ตั้งของ โมอาย รูปแกะสลักจากหินภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ด้วยความสูงเฉลี่ยราว 3.5 เมตร น้ำหนักราว 20 ตัน อายุนับพันปีมีจำนวนหลายร้อยตัวกระจายกันอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ ซึ่งไฮไลท์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะคือ ทงการิกิ (Tongariki) รูปปั้นโมอายจำนวน 15 ตัวที่ตั้งเรียงกันริมทะเลทางตะวันออกของเกาะ 3.ทะเลเกลือแห่งเมืองอูยูนี (Salar de Uyuni) ทะเลเกลือแห่งเมืองอูยูนีตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวีย ในอดีตเคยเป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน จนปัจจุบันกลายมาเป็นทะเลเกลือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยพื้นที่ราว 10,582 ตารางกิโลเมตร ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเกลือสีขาวกว้างไกลจรดเส้นขอบฟ้า ในยามฝนตกที่นี่จะกลายเป็นแอ่งน้ำที่เป็นเงาสะท้อนของท้องฟ้าตามคำขนานนามว่า “The world’s largest mirror, กระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลก” 4.หมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos Island) หมู่เกาะกาลาปากอสตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศเอกวาดอร์ ที่ปแห่งนี้ระกอบด้วยเกาะย่อยๆ ทั้งหมด 19 เกาะ ที่แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งอนุรักษ์พืชพรรณและสัตว์ป่า รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาธรรมชาติ โดยเฉพาะสัตว์หายา ที่นี่เราจะได้ล่องเรือไปชมชีวิตสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆ อย่างใกล้ชิดแบบสุดๆ หรือพ่วงโปรแกรมดำน้ำเพื่อชมสัตว์น้ำหายาก โดยไฮไลท์ของสัตว์แห่งกาลาปากอสอยู่ที่ เต่ายักษ์ (Giant Tortoise), นกบูบี (Red/Blue-Footed booby), นกโจรสลัด (Magnificent frigatebird), ปูสีส้ม (Sally lightfoot crab), สิงโตทะเล (Fur Seal), อีกัวน่าบกและอีกัวน่าทะเล (Marine Iguana)
Promotion 0%